KS Daily View 03.01.2025>>>ดัชนี S&P 500 ปิดลบเล็กน้อยจาก Tesla ที่ลงแรงหลังยอดส่งมอบรถยนต์ต่ำกว่าคาด ด้าน SET Index ปรับตัวลงแรง โดย DELTA ดึงลงราว 14 จุด มองปัจจัยภายนอกยังกดดันอยู่หลัง Dollar Index พุ่งแรง คาดกรอบ SET วันนี้ที่ 1,360 – 1,400 แนะนำ TIDLOR, OSP

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มต้นปี 2025 ด้วยการปรับตัวลง โดย S&P 500 ลดลง 0.22%, Dow Jones ลดลง 0.36% และ Nasdaq Composite ลดลง 0.16% นับเป็นการลดลงวันที่ห้าติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2023 แม้ตลาดจะเริ่มต้นวันด้วยการปรับขึ้น โดย Dow Jones เพิ่มขึ้นกว่า 300 จุดในช่วงแรก แต่กลับปรับตัวลงในเวลาต่อมา ทำให้มีการแกว่งตัวในวันเดียวกว่า 700 จุด แรงกดดันมาจาก Tesla ปรับตัวลง 6% หลังรายงานยอดส่งมอบรถยนต์ไตรมาส 4 ที่ 495,570 คัน ต่ำกว่าคาดที่ 512,277 คัน Apple ลดลง 2.6% จากข่าวการลดราคาสมาร์ทโฟนในจีนเพื่อแข่งกับ Huawei ขณะที่ได้หุ้นกลุ่มชิปและกลุ่มพลังงานช่วยหนุนตลาด

ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลงแรง 20 จุด ปิดที่ 1,379.85 จุด แรงกดดันหลักมาจากตัวเลขภาคการผลิตของจีนที่ออกมาชะลอตัว รวมถึงความกังวลเรื่อง Global Minimum Tax ที่เริ่มบังคับใช้ในปีนี้ ส่งผลให้ DELTA ปรับตัวลงแรงและมีส่วนทำให้ดัชนีปรับตัวลง 13.5 จุด กลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลงเช่นกัน ในขณะที่กลุ่มน้ำมัน และปิโตรเคมี ปรับตัวขึ้นหนุนตลาด วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อที่ 1,258 ล้านบาท เรามองภาพดัชนียังไม่ค่อยดีนัก หลังล่าสุดดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้นแรงแตะระดับสูงสุดที่ 109.5 ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนไปที่บริเวณ 34.3 บาทต่อดอลลาร์ มอง Sideway down ที่กรอบ 1,360 – 1,400 จุด หุ้นแนะนำเป็น TIDLOR, OSP

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1.   ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐฯ ลดลง 9,000 ราย เหลือ 211,000 รายในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 28 ธันวาคม ต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ขณะที่ผู้รับสวัสดิการต่อเนื่องลดลงเหลือ 1.84 ล้านราย ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน สะท้อนตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง

2.    รองนายกฯ และ รมว.คลัง พิชัย ชุณหวชิร เตรียมประชุมกรอบงบประมาณปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วันที่ 3 ม.ค. 68 ร่วมกับ 4 หน่วยงานเศรษฐกิจ โดยเน้น 2 เป้าหมาย: การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความเข้มแข็งของโครงสร้างการเงินประเทศ ทั้งนี้ จะมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและธนาคารพาณิชย์เพื่อกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ ส่วนนโยบายการเงินให้เป็นดุลยพินิจของ กนง. ในการพิจารณาตามสถานการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

3.    รัฐบาลเดินหน้าแผนดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อผลักดัน GDP ปี 2568 ให้โตเกิน 3% โดยมุ่งเน้น 4 กลุ่มหลัก: ดาต้าเซ็นเตอร์และ AI, ยานยนต์ไฟฟ้า, เกษตรแม่นยำ และเทคโนโลยีอาหาร คาดการลงทุนภาครัฐสูงกว่า 7-8 แสนล้านบาท พร้อมปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง AWS, Google, Microsoft และ Huawei รวมถึงอุตสาหกรรม Semiconductor ควบคู่กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการวิจัย

4.   ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนจากไฉซินลดลงเหลือ 50.5 ในเดือนธันวาคม จาก 51.5 ในเดือนพฤศจิกายน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ 51.7 สาเหตุหลักมาจากยอดสั่งซื้อเพื่อการส่งออกที่ลดลงเป็นเดือนที่ 4 ใน 5 เดือน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกซบเซาและความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

5.    ธนาคารกลางจีน (PBOC) ตัดสินใจเลื่อนการลดอัตราส่วนเงินสำรองขั้นต่ำ (RRR) ออกไปเป็นไตรมาสแรกของปี 2025 แทนที่จะดำเนินการในช่วงปลายปี 2024 ตามที่เคยส่งสัญญาณไว้ โดยเลือกที่จะเก็บเครื่องมือนี้ไว้รับมือกับความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ การชะลอการลด RRR ยังมีเหตุผลจากความกังวลว่าอาจกดดันค่าเงินหยวนและส่งผลต่อตลาดพันธบัตร โดย PBOC เลือกใช้วิธีอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อคืนพันธบัตรแทน

6.    ราคาน้ำมันเริ่มต้นปี 2025 ด้วยการปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม โดย WTI เพิ่มขึ้นกว่า 2% ปิดเหนือ 73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และเบรนท์ขึ้นแตะ 76 ดอลลาร์หลังข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลง 1.18 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นการลดลงติดต่อกันสัปดาห์ที่ 6 อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีความกังวลเรื่องอุปทานล้นในปีนี้ ความไม่แน่นอนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และนโยบายของทรัมป์ที่อาจทำให้อุปทานน้ำมันมากขึ้น

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

  • TIDLOR : ราคาพื้นฐาน 23.00 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ TIDLOR จากการจ่ายปันผลระหว่างกาลจำนวน 0.438 บาทต่อหุ้นที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 6 มค นี้คิดเป็นอัตราเงินปันผลราว 2.5% อีกทั้ง Sentiment เชิงบวกจากการปรับขึ้นค่าแรงในปี 2568 ที่มีการเพิ่มค่าจ้างราว 3-5% ประกอบกับการเร่งจัดเก็บลูกหนี้ในไตรมาสที่ 4/2567 ภายหลังการทำ clean up คุณภาพสินทรัพย์ตั้งแต่ปี 2566 จะส่งผลทำให้ Asset quality มีแนวโน้มดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2567 นอกจากนี้เราคาดการเติบโตของสินเชื่อในปี 2568 ในอัตราระดับ 10-15% ได้ พร้อมทั้งการเติบโตของรายได้ประกันจะเป็นตัวหนุนการฟื้นตัวของ ROE ในปี 2568 เป็นต้นไป นอกจากนี้การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทย 10 ปี ได้ปรับตัวลดลงมาที่ 2.3% หนุนการเก็งกำไรกลุ่ม Finance ในขณะที่ Fwd PE’68 อยู่ที่ 10 เท่า

  • OSP : ราคาพื้นฐาน 27.60 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ OSP จากปัจจัยการขึ้นค่าแรงปี 2568 ที่จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อสำหรับเครื่องดื่มชูกำลังพรีเมียมขวดละ 12 บาท ขณะที่ต้นทุนมีแนวโน้มลดลงจากราคาน้ำตาล (สัดส่วน 5% ของต้นทุนการผลิต) ที่คาดว่าจะลดลง 5-10% และราคาเศษแก้วสำหรับทำบรรจุภัณฑ์ (สัดส่วน 15-20% ของต้นทุนการผลิต) ที่ลดลง 10-15% ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/2567 ส่งผลให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นปี 2568 จะดีขึ้นกว่าปี 2567 โดยไม่มีการขายธุรกิจ non-core มากระทบงบการเงินอีก ปัจจุบัน Fwd P/E’68 อยู่ที่ 17 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ -2SD

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันศุกร์ ติดตามตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของสหรัฐ (ISM Manufacturing PMI) เดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 48.3 จุดชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 48.4 จุด
- Advertisement -