Daily Focus: การฟื้นตัวยังจำกัด เน้น Selective Buy

2025 SET Target: 1600

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงแรงกว่าคาดมาก ปิดลบ 20.36 จุด ที่ระดับ 1,379.85 จุด มูลค่าการซื้อขายยังค่อนข้างเบาบาง 3.7 หมื่นลบ. หุ้นที่กดกดดันหลักๆมาจากหุ้นขนาดใหญ่อย่าง DELTA GULF INTUCH CPAXT รวมกันราว 18 จุด ส่วนกลุ่มที่พยุงตลาด คือ ธนาคารการแพทย์ เป็นต้น สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นบางๆ 169 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายหนาแน่นต่อเนื่องอีก 1.3 พันลบ. (และ Short Index Futures สุทธิหนาแน่น 2.6หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่ง Sideways ในกรอบ 1,370-1,390 จุด หลังจากปรับฐานลงแรงวานนี้ ภาพรวมการฟื้นตัวยังจำกัด และทางเทคนิคหากยังไม่กลับไปยืน 1,389 จุด ยังมีความเสี่ยงซึมตัวลงทดสอบ Low เดิมในเดือน ธ.ค. ขณะที่ภาพรวมตลาดยังขาดปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน โฟกัสหลักของตลาดยังอยู่ที่การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์เดือนนี้ว่าจะมีการ Implement นโยบายด้านภาษีสินค้านำเข้าอย่างแข็งกร้าวเพียงใด ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจคืนนี้ติดตาม ISM ภาคการผลิตสหรัฐฯเดือน ธ.ค. ขณะที่สัปดาห์หน้าโฟกัสอยู่ที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ด้านปัจจัยในประเทศระยะสั้นยังต้องจับตาเม็ดเงิน LTF ที่ครบกำหนดขายได้ในปี 2025 จำนวนราว 7 หมื่นลบ. ว่าจะหนาแน่นเพียงใด แต่จากระดับดัชนีปี 2019 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ระดับกว่า 1,600 จุด ทำให้คาดว่าแรงขายจะไม่รุนแรงมาก ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการแจกเงินหมื่นเฟส 2 มาตรการ Easy e-Receipt รวมถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ คาดยังช่วยประคองหุ้นในกลุ่ม Consumption Plays นอกจากนี้หากกำไรบจ. 4Q24 ที่จะทยอยคาดการณ์และประกาศในเดือน ม.ค.-ก.พ. หากฟื้นตัวได้ดีตามคาด เชื่อว่าจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากขึ้น รวมถึง Valuation ระยะกลาง-ยาว เรายังมองว่าน่าสนใจ โดยเทรด PER เพียง 14.1 เท่า (ต่ำกว่า 13 เท่าหากไม่รวม DELTA) และให้ Earnings Yield Gap ที่กว้างเกือบ 5%

กลยุทธ์ : เน้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 4Q24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วง ก่อนหน้ายังถือลงทุนระยะกลาง-ยาว

หุ้นเด่นเดือน ม.ค. : CRC, MASTER, NSL, SEAFCO, SHR

FSSIA Portfolio: BA, CHG, CPALL, KTB, MTC, NSL, RBF, SEAFCO, SHR, WHA

หุ้นเด่น Finansia 3 ม.ค. 24 : OSP

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 28 บาท
  • ส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของ OSP ล่าสุดเดือน พ.ย. ในเชิงมูลค่าปรับขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 45.4% จาก 45% ใน ต.ค. เช่นเดียวกับ CBG ซึ่งหมายถึงคู่แข่งอันดับ 3 อย่าง KTD มีส่วนแบ่งตลาดลดลง เป็นสัญญาณบวกต่อรายได้ OSP ที่จะทยอยปรับตัวขึ้น
  • คาดกำไร 4Q24 จะโต q-q และ y-y เราคาดกำไรสุทธิปี 2025 จะกลับมาโตแรง +74% y-y ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงทำให้ 2025PER อยู่ที่ 19.2 เท่า ห่างจาก CBG ที่ 25.2 เท่า มากเกินไป
  • แนวรับ 20.50//20 บาท แนวต้าน 21.70-22 บาท

Fund Flow : วันทำการแรกของปี 2025 กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากภูมิภาคหนาแน่น US$1,269 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$967 ล้าน รองลงมาคือเกาหลีใต้ US$251 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินค่อนไปในทิศทางไหลออกสูงสุดที่ไทย US$37 ล้าน มีเพียงฟิลิปปินส์ที่ไหลเข้าบางๆ แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่าอยู่ในทิศทางไหลออก โดยยังขาดปัจจัยบวกใหม่ เม็ดเงินยังออกจากสินทรัพย์เสี่ยงและหนุน Dollar Index พุ่งขึ้นต่อเนื่อง กดดันสกุลเอเชียอ่อนค่า

ประเด็นสำคัญวันนี้

(-) Dollar Index ปรับขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2022 หนุนจากข้อมูลตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง หลังตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดีการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับ 211,000 ราย ต่ำสุดตั้งแต่เดือนมี.ค. 2026 และต่ำกว่าตลาดคาด รวมถึงการกลับมาของทรัมป์จะหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐ ส่งผลให้ตลาดกังวลว่าเฟดอาจชะลอการปรับลดดอกเบี้ยในปี 2025 ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจกดดันค่าเงินภูมิภาคเอเชีย รวมถึงบาทอ่อนค่า และ fund flow ไหลออกจากตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่อง

(+) รัฐบาลจีนกำหนดเป้า GDP ปี 2025 +5% ปธน. สี กล่าวสุนทรพจน์เนื่องในเทศกาลปีใหม่ด้วยความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจีนปี 2025 โต 5% พร้อมกับเร่งนโยบายเศรษฐกิจในเชิงรุกมากขึ้น ขณะที่ตัวเลข PMI ภาคผลิตจีนล่าสุดปรับลงสู่ระดับ 50.5 ในเดือนธ.ค. 2024 จาก 51.5 ในเดือนพ.ย. แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ขยายตัว ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้น รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องหรือขึ้นอยู่กับความต้องการในจีนอย่างหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี ถ่านหิน กระดาษ ธุรกิจส่งออกไปจีน เป็นต้น

(+) AMATA 2024-25 เป็นปีทองของ AMATA ด้วยการเติบโตของกำไรที่เราคาด +23% y-y ในปี 2025 และ +16% y-y ในปี 2026 และมี Backlog 1.93 หมื่นลบ. สูงเป็นประวัติการณ์รองรับการเติบโตข้างหน้า และยังหนุนด้วยธุรกิจสาธารณูปโภคและรายได้ค่าเช่าที่สดใส AMATA เป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่มนิคมฯในทำเลที่โดดเด่นทั้งในไทยและเวียดนาม ด้วยประสบการณ์ 50 ปี มีพื้นที่รอการพัฒนาในไทยทั้งหมด 1.7 หมื่นไร่ เชื่อว่าจะรองรับการเติบโตในระยะยาว เราคาดกำไรโตเฉลี่ย 12% CAGR ในปี 2024-26 ประเมินราคาเป้าหมาย 34 บาท อิง PER 14 เท่า บนค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ไม่รวมช่วงโควิด แนะนำ “ซื้อ”

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 151.95 จุด หรือ -0.36%, ปิดที่ 42,392.27 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดอ่อนแรงลงเช่นกัน โดยตลาดถูกกดดันจากข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่ง รวมทั้งการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และการร่วงลงของหุ้นเทสลา (Tesla)

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก ซึ่งเป็นวันซื้อขายวันแรกของปี 2568 โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่นักลงทุนทั่วโลก วิเคราะห์การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจใหม่จากสหรัฐฯ

(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวกสวนทางตลาดสหรัฐฯ หลังตลาดสหรัฐฯโดนกดดันโดยหุ้นเทคโนโลยี

(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 34.41 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ 0.11%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.41 ดอลลาร์ หรือ 1.97% ปิดที่ 73.13 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและอุปสงค์เชื้อเพลิงในประเทศจีน หลังจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนได้ให้คำมั่นว่าจะใช้นโยบายเชิงรุกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 70.18 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.07%

(+) ราคาทองคำตลาด COMEX เพิ่มขึ้น 28 ดอลลาร์ หรือ 1.06% ปิดที่ 2,669.00 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยตลาดยังคงได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเดินหน้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตา สัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในปี 2568 และนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 2,672.90 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 0.15%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 872.50/-

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

3 ม.ค.สหรัฐ: ISM Manufacturing PMI (ธ.ค.)
6 ม.ค.ไทย: เงินเฟ้อ (ธ.ค.)
7 ม.ค.ยูโรโซน: เงินเฟ้อ (ธ.ค.)

สหรัฐ: ISM Services PMI (ธ.ค.)

8 ม.ค.สหรัฐ: รายงานการประชุมเฟด
9 ม.ค.สหรัฐ: Non-Farm Payroll (ธ.ค.) , Initial Jobless Claims (Jan/4)
- Advertisement -