(ซ้าย) นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ขวา) นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาชิการและกรรมการผู้อำนวยการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน

สมาคมนักวิเคราะห์ คาดดอกเบี้ยลด EPS 68 โต 12% หนุน Set Index สิ้นปี 1556

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนไตรมาส 1 ปี 2568 ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

สมมติฐานหลักที่นักวิเคราะห์ใช้

  • ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้ 14 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
  • สมมติฐาน GDP ปี 68 รายที่ต่ำสุดที่ 4% สูงสุดที่ 3.3% โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.93%
  • Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 60%
  • Risk Premium ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 82%

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2568 แบ่งเป็น

  • ปัจจัยบวก นำโดยทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ผู้ตอบแบบสำรวจ 92% เทคะแนนให้อย่างชัดเจน

ปัจจัยรองลงมา 73.08% คือ ผลประกอบการบจ.ปี68 ตามมาด้วยเศรษฐกิจภายในประเทศ ผู้ตอบ 69.23% และ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา 57.69% ตามลำดับ

  • ส่วนปัจจัยลบ คือ ปัจจัยด้าน Fund Flows จากต่างประเทศออกจากตลาดหุ้นไทย มีผู้ตอบ 07% ของ

ผู้ตอบทั้งหมด รองลงมาปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ มีผู้ตอบ 69.23% ตามมาด้วยปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบ 61.54% และการลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้โหวต 55.56% ตามลำดับ

  • ปัจจัยที่น่าจับตามองเป็นพิเศษในไตรมาส 1 คือการเข้ารับตำแหน่งและนโยบายของ Trump ตามมาด้วย

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยและการลงทุนของภาครัฐ

  • ส่วนคาดการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในสิ้นปี 2568 นั้นมีความเห็นต่างกันพอสมควร

โดยผู้ตอบร้อยละ 54 คาดว่าจะอยู่ที่ 2% รองลงมาผู้ตอบร้อยละ 22 มองว่าปรับลดลงมาที่ 1.75% ถัดมาผู้ตอบร้อยละ 17 มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงที่ที่ 2.25% และร้อยละ 4 ที่มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจปรับลดไปอยู่ที่ 1.50%

  • ด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยได้ที่ 61 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้ง

ก่อน ซึ่งอยู่ที่ 89.91 บาท ต่อหุ้น และคาดว่า EPS Growth ของปี 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.22% ทั้งยังคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 ของตลาดเฉลี่ยไว้ที่ 94.95 บาท

  • ทางด้านคาดการณ์ทิศทางหุ้นไทย คาดว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางบวก โดยจะปิดสิ้นไตรมาสแรกที่ 1449 จุด

และเมื่อมองตลอดปี จะแกว่งตัวในกรอบ 1322 ถึง 1581 จุด โดยไปปิดสิ้นปี 2568 ที่ 1556 จุด

นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

o เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 10.72%

o กองทุนตราสารหนี้ 22.00%

o หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 29.56%

o หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 22.52%

o กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 6.90%

o ทองคำหรือกองทุนทองคำ 8.10%

o สินทรัพย์อื่นๆ เช่น Bitcoin 0.20%

โดยความเห็นการลงทุนต่างประเทศ แนะนำกองทุนหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะ AI-Technology และ Selective Asia เช่น จีนเกาหลี และเวียดนาม

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจค้าปลีก รับเหมาก่อสร้าง ภาคบริการ การท่องเที่ยว เทคโนโลยีและการสื่อสาร ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจยานยนต์ พลังงานและปิโตรเคมี

รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)

  1. AOT มองว่าได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวฟื้น โดยเติบโตไปตามการท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่งในปี 2567 ททท.คาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่ 36 ล้าน และปี 2568 ที่ 40 ล้านคน
  2. ADVANC มองว่าธุรกิจฟื้นตัว ต้นทุนต่ำลง มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ปลอดภัยจากนโยบายของทรัมป์ และได้ประโยชน์จากกระแส Data center
  3. BDMS ได้อานิสงส์จากสังคมสูงวัยที่จะใหญ่ขึ้น คาดกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติยังคงเติบโต
  4. CPALL ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นกลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับงบประมาณ ได้แก่ เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ สนับสนุนอุตสาหกรรม New S-Curve ให้เกิดขึ้นในไทย นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ สนับสนุนการวิจัยและผลิตสินค้าเทคโนโลยี ส่งเสริมการท่องเที่ยว Entertainment complex รวมถึงลดภาษีนิติบุคคล และตามมาด้านการช่วยเหลือภาคประชาชน ได้แก่ ลดภาษีบุคคลธรรมดา สนับสนุนมาตรการแก้ปัญหาหนี้ และให้ความสำคัญด้านการศึกษา

 

- Advertisement -