ปัจจัยเดิมยังกดด้นอย่างต่อเนื่อง / 1,360-1,380
SET ปรับตัวลงต่อ: แรงกดดันจากทิศทางนโยบายการเงินและภาครัฐ รวมถึงการท่องเที่ยวที่เผชิญ ปัจจัยกดดันในระยะสั้น หากแต่ถูกบรรเทาลงด้วยกลุ่มธนาคารที่ยังมีความน่าสนใจ และการจับจ่ายใช้สอยที่ยังมีสัญญาณเชิงบวก
กลยุทธ์การลงทุน
- เก็งงบ 4Q67: BBL, BCH, KBANK, KTB, PR9, TCAP, TTB
- Spending: ADVICE, AU, CRC, TFG
- Selective: BTC, JTS, MEGA, PTTEP, STGT
- Short sell: BGRIM, GPSC, KCE, OR, PTTGC, SCC, SCGP, TU
แรงกดด้นจากนโยบายการเงินและภาครัฐ: คาด SET Index ยังคงเผชิญแรงกดดันสืบเนื่องจากวานนี้ ได้แก่ 1) ทิศทางนโยบายการเงินในประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นแรงกดดันต่อต้นทุนการบริโภคและภาคธุรกิจ หลัง Headline CPI เดือนธ.ค.67 กลับเข้ากรอบ 1-3% และกนง.ได้ย้ำจุดยืนในการรักษา Policy space เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่ปรับสูงขึ้น ทางฝ่ายจึงมองว่ากนง.มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในรอบการประชุม 1Q68 เพื่อรอให้ภาพนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักมีความชัดเจนมากขึ้น และ 2) ความไม่แน่นอนของทิศทางราคาพลังงาน หลังมีแนวคิดการลดค่าไฟฟ้าจาก 4.25 เป็น 3.70 บาท/หน่วย ซึ่งยังคงมีแนวโน้มเป็นแรงกดดันต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า อีกทั้ง ติดตามการประชุมครม.ในวันนี้ ซึ่งอาจเป็นอีกแรงกดดันเพิ่มเติม หลังดีอีเตรียมเสนอครม.แก้ไขพ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีพ.ศ.66 เพิ่มความรับผิดชอบของสถาบันการเงินและผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์
ท่องเที่ยวมีปัจจัยกดด้นในระยะสั้น: คาดหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องจะเผชิญ Sentiment กดดันจาก 1) การที่สื่อรายงานว่าหวัง ซิง นักแสดงชาวจีน ได้ขาดการติดต่อไปเมื่อวันที่ 3 ม.ค.68 ขณะที่กำลังเดินทางมาถ่ายทำละครที่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา และ 2) ความกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัส hMPV ในจีน ซึ่งอาจส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 68 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน
เก็งงบกลุ่มธนาคาร ส่วนจับจ่ายเตรียมคึกคัก: มองทางลงจำกัด โดยกลุ่มธนาคารยังมีความน่าสนใจจากอัตราดอกเบี้ยไทยที่มีแนวโน้มคงตัวใน 1Q68 และแรงเก็งกำโรงบ 4Q67 ซึ่งได้บดบังปัจจัยลบจากการที่ดีอีเรียมเสนอแก้ไขพร.ก.ฯ อีกทั้ง คาดหุ้นในกลุ่มจับจ่ายใช้สอยมีแนวโน้มเป็นอีกแรงพยุงต่อ SET Index หลัง 1) ม.หอการค้าฯประมินการจับจ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีน คาดเม็ดเงินสะพัดจะเพิ่มขึ้นเกิน 3% ขึ้นไป และ 2) รมวดีอีเผยการจัดทำระบบดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 จะเสร็จประมาณช่วงเดือนมี.ค.68 นอกจากนี้ ติดตามการประชุมครม. ซึ่งอาจเป็นอีก Sentiment หนุนจากการที่สำนักงบฯเตรียมเสน่อกรอบงบประมาณ 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.7%
+ ปัจจัยเพิ่มเติม –
(+) กทพ.เผยปีนี้คทพ.มี 2 โครงการเรือธงที่จะเร่งผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของครม. ประกอบด้วยโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 ช่วงถนนประเสริฐมนูกิจ-ถนนวงแหวนรอบนอกกทม. มูลค่าลงทุน 16,960 ล้านบาท และโครงการทางพิเศษ สายกระทู้ป่าตอง มูลค่าลงทุน 14,670 ล้านบาท
(+) กรมการค้าต่างประเทศเผยยอดการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนในเดือนพ.ย.67 โดยการส่งออกมีมูลค่า 85,676 ล้านบาท ขยายตัว 15.3% y-y
(+) บสย.เปิดตัวมาตรการแก้หนี้ปี 68 “บสย. พร้อมช่วย”ช่วยเหลือ SMEs ที่บสย.ได้จ่ายค่าประกันชดเชยหรือลูกหนี้บสย.โดยคาดจะสามารถปรับโครงสร้างหนี้ผ่านมาตรการข้างต้นตลอดปีได้มากกว่า 5 พันราย มูลหนี้ไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท
(-) IAA เผยผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน 26 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในปี 68 มองดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,322-1,581 จุด ปิดสิ้นปี 68 ที่ 1,556 จุด ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนที่คาดว่าดัชนีปี 68 อยู่ที่ 1,614 จุด
PICKS OF THE DAY
KTB BUY
- เป้าหมาย 22.00 / 22.60 แนวรับ 21.30
- ได้ประโยชน์จากโครงการรัฐ: KTB เป็นธนาคารที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาล ทำให้มองว่าจะได้ประโยชน์ต่อโครงการต่างๆ ของรัฐมากที่สุด ทั้งด้านการเติบโตของสินเชื่อ รายได้ค่าธรรมเนียม และการได้ลูกค้าใหม่ ๆ และข้อมูลของลูกค้าผ่านแอปต่าง ๆ ที่ใช้ในโครงการของรัฐบาล ซึ่งทาง KTB เป็นผู้ให้ บริการ
- คาดกำไร 4Q67 โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม y-y: คาด 4Q67 KTB จะมีกำไร 10.5 พันลบ. เพิ่มขึ้นถึง 72.1% y-y เป็นระดับที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากคาดว่าการตั้งสำรองจะลดลงอย่างมีนัย จาก 4Q66 ที่ KTB มีการตั้งสำรองสูงมากเพื่อรองรับ NPL และต้องการเพิ่มระดับสัดส่วนสำรองต่อ NPL
BGRIM SHORT
- เป้าหมาย 16.50 /17.00 แนวต้าน 18.00
- นโยบายค่าไฟกดดัน: หุ้นโรงไฟฟ้ายังคงได้รับแรงกดดันจากปัจจัยลบต่อเนื่อง โดยล่าสุด ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับประเด็นกระแสข่าวการลดค่าไฟจากปัจจุบัน 4.15 บาทต่อหน่วย ให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย ในปีนี้ โดยบริษัทมีลูกค้าอุตสาหกรรม (IU)ในสัดส่วนค่อนข้างมาก ซึ่งราคาขายอ้างอิงค่าไฟ Ft โดยคาดว่าทุก 0.01 บาทของการลดค่าไฟจะส่งผลต่อกำไรบริษัท 24 ลบ./ปี ทำให้คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบนี้จนกว่าจะมีความชัดเจนของนโยบายรัฐ
- ความเสี่ยงจ่ายภาษีเพิ่ม: ตามที่ไทยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่าจะนำกฎ Global Minimum Tax (GMT) ซึ่งบริษัทมีอัตราภาษีอยู่ประมาณ 12% จึงมีโอกาสที่จะต้องจ่ายภาษีเพิ่มให้เป็น 15% ตามกฎ GMT ทางฝ่ายมองเป็นปัจจัยลบกดดันหากไม่มีมาตรการชดเชยจากภาครัฐในอนาคต