Daily Focus: Earnings and Selective Buy

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ฟื้นตัวได้เล็กน้อยช่วงต้นชั่วโมงการซื้อขาย ก่อนจะมีแรงขายออกมากดดันโดยเฉพาะช่วงบ่าย กดดัชนีลงปิดลบถึง 12.11 จุด ที่ระดับ 1,372.65 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.7 หมื่นลบ. ถ่วงโดยหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้า ปีโตรเคมี สื่อสารฯ การแพทย์ เป็นต้น ขณะที่กลุ่มที่ประคองดัชนีคือ ธนาคารและอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันในประเทศยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นอีก 862 ลบ. ซึ่งคาดมาจากแรงขาย LTF ที่ครบกำหนดขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 650 ลบ. (แต่พลิกมา Short Index Futures สุทธิ 9.3 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่ง Sideways ในกรอบ 1,365-1,380 จุด โดยคาดหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยียังพยุงตลาดจากแรงซื้อที่ยังกระจุกตัว อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวว่าทรัมป์อาจพิจารณาขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเฉพาะกลุ่มสินค้าที่สำคัญกับความมั่นคง แทนที่จะเก็บแบบครอบจักรวาล ซึ่งแม้จะมีการออกมาปฏิเสธภายหลัง แต่เริ่มเห็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้บ้าง โดยตลาดยังรอดูการ Implement หลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่งปลายเดือนนี้ว่าจะเข้มข้นมากน้อยเพียงใด ส่วนสัปดาห์นี้โฟกัสหลักยังคงอยู่ที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯเดือน ธ.ค. ที่วันศุกร์ (ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 1.6 แสนตำแหน่ง ชะลอจากเดือนก่อนที่ 2.27 แสนตำแหน่ง) ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ ธปท.ระบุถึงความไม่แน่นอนที่อาจกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกจากสงครามการค้า รวมถึงการฟื้นตัวของแต่ละอุตสาหกรรมที่ดูแตกต่างกันมากขึ้น โดยแม้จะยังตรึงดอกเบี้ยในปัจจุบัน แต่ไม่ปิดโอกาสในการปรับนโยบายในอนาคตหากเริ่มเห็นผลกระทบทางลบที่ชัดเจนขึ้น ส่วนระยะสั้นคาดยังเห็นแรงกดดันจากฝั่งสถาบันที่คาดยังขายสุทธิในตลาดหุ้นตามการขาย LTF ที่ครบกำหนด เราเน้นกลยุทธ์เลือกลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มคาดการณ์กำไร 4Q24 แข็งแกร่ง ส่วนระยะกลาง-ยาวยังมอง Valuation ไม่แพง เทรด PER เพียง 14 เท่า (ต่ำกว่า 13 เท่าหากไม่รวม DELTA) และให้ Earnings Yield Gap ที่กว้างเกือบ 5%

กลยุทธ์ : เน้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 4Q24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนระยะกลาง-ยาว

หุ้นเด่นเดือน ม.ค. : CRC, MASTER, NSL, SEAFCO, SHR

FSSIA Portfolio: BA, CHG, CPALL, KTB, MTC, NSL, RBF, SEAFCO, SHR, WHA

หุ้นเด่น Finansia 7 ม.ค. 25 : BA

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30 บาท
  • เราคาด BA จะรายงานกำไรปกติราว 100-200 ลบ.ใน 4Q24 ซึ่งจะมีกำไรเป็นครั้งแรกใน 4Q ซึ่งเป็น Low Season หนุนจากปริมาณผู้โดยสารที่สมุยที่ทำ Record High ในสัปดาห์สุดท้ายของ ธ.ค. 24 และหนุน 4Q24 +22% y-y สูงกว่าก่อนโควิดราว 25% 
  • โมเมนตัมจำนวนผู้โดยสาร ม.ค.-ก.พ. 25 ยังดีต่อเนื่อง และอยู่ระหว่างขอเพิ่มเที่ยวบินรองรับ Demand ที่แข็งแกร่ง เราคาดกำไรปกติปี 2025 +10% y-y ส่วนด้าน Valuation ปัจจุบันเทรด PER เพียง 12 เท่า และคาดให้ Dividend Yield ปีละกว่า 5%
  • แนวรับ 21.50-21.20 บาท แนวต้าน 22.40//23 บาท 

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าภูมิภาคต่อเนื่องและหนาแน่นขึ้นเป็น US$1,650 ล้าน โดยกระจุกตัวที่ไต้หวัน US$1,539 ล้าน ส่วนเกาหลีใต้ไหลเข้าบางๆ US$144 ล้าน ด้านอาเซียนเม็ดเงินผสมผสาน ยังคงไหลเข้าไทยมากสุด US$19 ล้าน แต่ไหลออกจาก อินโดนีเซีย US$57 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังอยู่ในทิศทางไหลเข้าแต่ยังกระจุกตัวในกลุ่มเทคโนโลยี

ประเด็นสำคัญวันนี้

(-) กลุ่มไฟฟ้า ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าร่วงแรงวานนี้น่าจะมาจากข่าวการปราศัยหาเสียงของคุณ ทักษิณที่เล็งลดค่าไฟให้เหลือ 3.70 บาท/หน่วย จากค่าไฟฟ้าปัจจุบันที่ 4.15 บาท/หน่วย หากข่าวนี้กลายเป็นนโยบายของรัฐบาลจริงจะกระทบต่อ GPSC และ BGRIM ที่เป็นโรงไฟฟ้า SPP รวมถึง GULF บางส่วน ซึ่งจากการวิเคราะห์ Sensitivity ของค่า Ft ต่อกำไรทั้งปีของ GPSC พบว่า หากค่า Ft ปรับขึ้นลง 1 สตางค์/หน่วย จะทำให้กำไรต่อปี +/- 50 ลบ. ดังนั้นหากต้องลด ถึง 45 สตางค์/หน่วย จะทำให้กำไรของ GSPC ลดลงราว 42% ของกำไรทั้งปี 2025 ส่วน BGRIM น่าจะได้รับผลกระทบใกล้เคียงกับ GPSC สำหรับ GULF ได้รับผลกระทบเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเรามองว่าการปรับลดค่าไฟฟ้าทำได้ไม่ง่าย เพราะรัฐบาลต้องนำเงินมาอุดหนุนเพิ่มอีกมาก จากปัจจุบันที่ใช้เงินอุดหนุนอยู่เกือบ 8-9 หมื่นลบ. สำหรับผลกระทบต่อ GPSC BGRIM และ GULF จะยังเป็นเพียง sentiment เชิงลบช่วงสั้น และเชื่อว่าราคาหุ้นน่าจะยัง Overhang จนกว่าจะเห็นนโนบายจากทางภาครัฐ

(+) MTC คาดได้ปัจจัยบวกจากโอกาสที่ต้นทุนในการกู้ยืมจะลดลงหลัง Fitch Ratings ปรับอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ขึ้นจาก BBB+ เป็น A- (ไทย), คุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ในเกณฑ์ดี, การได้รับประโยชน์จากการอัดฉีดสภาพคล่องสู่เศรษฐกิจในระดับจังหวัดที่สูงขึ้นผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสินเชื่อที่คาดว่าจะโต 13.2% ต่อปีในปี 2024-26 เราคาดกำไร สุทธิปี 2024-26 +22.5% CAGR หลังปรับลดประมาณการลง 5-6% ส่วนใหญ่เพื่อสะท้อนสมมติฐานผลตอบแทนสินเชื่อที่ลดลง ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 60 บาท ยังแนะนำ”ซื้อ”

(0) SPALI ยอด Presales 4Q24 อยู่ที่ 6.7 พันลบ. flat q-q, +25% y-Y มีแรงหนุนหลักจากยอดขายคอนโดที่โตแรงจากการเปิดตัวคอนโด 4 แห่ง อย่างไรก็ตาม ยอดขายแนวราบยังหดตัวแรงจากการเปิดตัวลดลงและตลาดซบเซา ยอด Presales รวมจบปี 2024 ที่ 2.67 หมื่นลบ. -7%y-y ต่ำกว่าเป้าของบริษัทที่ 3.6 หมื่นลบ. จากแนวราบพลาดเป้า ส่วนการเปิดตัวทั้งหมด 41 แห่ง มูลค่ารวม 5.24 หมื่นลบ. +77% y-y มากกว่าแผนเล็กน้อยที่ 5 หมื่นลบ. แนวโน้มกำไร 4Q24 คาดหดตัว q-q, y-y คงประมาณการกำไรปี 2024 -10% y-y และปี 2025 +4% y-Y คงราคาเหมาะสม 20.40 บาท แนะนำ “ถือ”

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 25.57 จุด หรือ -0.06%, ปิดที่ 42,706.56 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่สอง โดยตลาดได้รับปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี รวมทั้งรายงานข่าวที่ว่าโดนัลด์ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแผนที่จะผ่อนคลายนโยบายการตั้งกำแพงภาษี

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มรถยนต์หลังมีรายงานว่าสหรัฐฯ อาจเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่รุนแรงน้อยกว่าที่วิตกกัน

(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวกเป็นส่วนใหญ่ ตามทิศทางของตลาดสหรัฐฯ

(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 34.63 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ 0.36%

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 40 เซนต์ หรือ 0.54% ปิดที่ 73.56 ดอลลาร์/บาร์เรล ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐฯ และเยอรมนี ได้บดบังปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่าอุปสงค์เชื้อเพลิงจะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งเนื่องจากพายุหิมะที่แผ่ปกคลุมหลายพื้นที่ในสหรัฐฯในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 73.33 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.31%

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 7.30 ดอลลาร์ หรือ 0.27% ปิดที่ 2,647.40 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยตลาดถูกกดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และจากการที่เจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณเมื่อไม่นานมานี้ว่าเฟดอาจจะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลแรงงานของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินทิศทาง อัตราดอกเบี้ยของเฟด ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 2,645.40 ดอลลาร์/ออนซ์หรือ -0.08%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 871.08/-

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

7 ม.ค.ยูโรโซน: เงินเฟ้อ (ธ.ค.)

สหรัฐ: ISM Services PMI (ธ.ค.)

8 ม.ค.สหรัฐ: รายงานการประชุมเฟด
9 ม.ค.สหรัฐ: Initial Jobless Claims (Jan/4)
10 ม.ค.สหรัฐ: Non-Farm Payroll (ธ.ค.)

จีน: New Yuan Loans (ธ.ค.)

12 ม.ค.จีน: เงินเฟ้อ (ธ.ค.)
- Advertisement -