Daily Focus: กลุ่ม Tech มีโอกาสพลิกมาถ่วงตลาด กังวล FED ลดดอกเบี้ยช้า

2025 SET Target : 1600

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ฟื้นตัวได้แรงกว่าที่คาด ปิดบวกถึง 18.23 จุด ที่ระดับ 1,390.88 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.9 หมื่นลบ. ยังคงนำโดยกลุ่มอิเล็กทรอนิสก์ที่ปรับตัวขึ้นแรง ส่วนหุ้นขนาดใหญ่อื่นเริ่มฟื้นตัวหลังปรับลงในช่วงก่อนหน้า สถาบันในประเทศซื้อสุทธิเพียงบางๆ 39 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเร่งขึ้นเป็น 2.4 พันลบ. (และ Long Index Futures สุทธิ 1.8 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะพลิกกลับมาแกว่ง Sideways to Sideways Down ในกรอบ 1,380-1,400 จุด ถูกกดดันจากแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแข็งแกร่ง ทำให้ตลาดกังวลว่า FED จะลดดอกเบี้ยได้ช้าลง ส่งผลให้ Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯพุ่งแตะ 4.68% ล่าสุดตัวเลข ISM ภาคบริการสหรัฐฯปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนและดีกว่าคาดแตะระดับ 54.1 ขณะที่ Job Openings อยู่ที่ 8.098 ล้านตำแหน่ง สูงกว่าที่ตลาดคาด สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังดูแข็งแรง ขณะที่ตลาดประเมินโอกาสโอกาสที่ FED จะลดดอกเบี้ยเดือน ม.ค. เหลือเพียง 5% และมองโอกาสลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน พ.ค.-ก.ค. มากกว่า โดยต้องติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯเดือน ธ.ค. วันศุกร์อีกครั้ง (ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 1.6 แสนตำแหน่งชะลอจากเดือนก่อนที่ 2.27 แสนตำแหน่ง) ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามว่ากลต.จะมีข้อสรุปประเด็น CPAXT ลงทุนใน Happitat หรือไม่ ระยะสั้น Upside ของดัชนียังจำกัดทั้งจากแรงขาย LTF ที่ครบกำหนด และรอติดตามกำไรบจ. 4Q24 ซึ่งหากเริ่มกลับมาเร่งตัวได้ตามที่คาด เชื่อว่าจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับมาได้บางส่วน ขณะที่ Valuation ระยะกลาง-ยาวยังไม่แพง เทรด PER เพียง 14 เท่า (ต่ำกว่า 13 เท่าหากไม่รวม DELTA) และให้ Earnings Yield Gap ที่กว้างเกือบ 5%

กลยุทธ์ : เน้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 4Q24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนระยะกลาง-ยาว

หุ้นเด่นเดือน ม.ค. : CRC, MASTER, NSL, SEAFCO, SHR

FSSIA Portfolio: BA, CHG, CALL, KTB, MTC, NSL, RBF, SEAFCO, SHR, WHA

หุ้นเด่น Finansia 8 ม.ค. 25 : BJC

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 31 บาท
  • เราประเมินแนวโน้มกำไร 4Q24 จะเร่งตัว q-q จาก High Season ของการใช้จ่าย และคาด SSSG เป็นบวกราว 2% y-y ซึ่งเร่งขึ้น 3Q24 อย่างไรก็ตามกำไรจะลดลง y-y จากฐานสูงปีก่อนจากภาษีจ่ายที่เป็นบวก ซึ่งหากดูที่กำไรก่อนภาษี เบื้องต้นคาดว่ายังเติบโตได้ 
  • ประมาณการกำไรปกติปัจจุบันคาดที่ 4.4 พันลบ. –6% y-y สำหรับปี 2024 ก่อนเร่งตัวเป็น 5.1 พันลบ. +16% y-y ปี 2025 ราคาหุ้นที่ปรับลงทำให้ Valuation ไม่แพง เทรด PBV เพียง 0.8 เท่า และให้ Dividend Yield ราว 3.6%
  • แนวรับ 22.30 บาท แนวต้าน 23//23.60-23.80 บาท 

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าภูมิภาคต่อเนื่อง แต่บางลงเหลือ US$467 ล้าน อย่างไรก็ตามเม็ดเงินยังไหลเข้าสูงสุดที่ใต้หวัน US$353 ล้าน รองลงมาคือเกาหลีใต้ไหล US$105 ล้าน ด้านอาเซียนเม็ดเงินยังคงผสมผสานไหลเข้าไทย US$70 ล้าน และยังไหลออกจากอินโดนีเซีย US$42 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ามีโอกาสพลิกมาไหลออกหลัง Bond Yield สหรัฐฯ พุ่งขึ้นจากความกังวลที่ FED ลดดอกเบี้ยช้ากว่าที่คาด ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีเผชิญแรงขาย

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) CBG คาดกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 810 ลบ. +9% q-q, +25% y-y จะเป็นกำไรไตรมาสที่ดีสุดของปี จากรายได้รวมเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสูดเป็นประวัติการณ์ แรงหนุนหลักมาจากส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นและปัจจัยฤดูกาล บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2025 เติบโต 20% y-y จากความต้องการในประเทศที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดต่างประเทศตั้งเป้าโต single-digit หากกำไร 4Q24 ตามคาด คาดกำไรสุทธิปี 2024 +49% Y-Y เรายังคงประมาณการกำไร สุทธิปี 2025 +11% y-y และราคาเป้าหมาย 88 บาท ยังแนะนำ”ซื้อ”

(+) SC ยอด Presales 4Q24 ใกล้เคียงเราคาดที่ 6.9 พันลบ. +6% q-q, -5% y-y แรงหนุนมาจากคอนโดเปิดตัว 3Q24 ที่ได้รับผลตอบรับดีกว่าเป้าบริษัท แต่ยอด presales แนวราบลดลงจากความต้องการที่ชะลอตัวและการแข่งขันรุนแรง จบปี 2024 Presale – 11% y-y ต่ำกว่าเป้าบริษัท คาดกำไร 4Q24 ดีขึ้น q-q และเป็นไตรมาสดีสุดของปี สำหรับ ปี 2025 คาดมูลค่าโครงการเปิดใหม่ใกล้เคียงปีก่อน คงคาดกำไรสุทธิปี 2025 +10% Y-Y และราคาเป้าหมาย 3.20 บาท ปันผล 2H24 ที่ 0.14 บาท /หุ้น คิดเป็น Yield 5.3% ยังแนะนำ “ซื้อ”

(0) SAWAD ภาพรวมเรามีมุมมองเป็นกลางเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของ SAWAD ในช่วงปี 2024-26 แม้ว่าคุณภาพสินทรัพย์ส่งสัญญานปรับตัวดีขึ้น หลังการล้างหนี้ด้อยคุณภาพเป็นจำนวนมากมาตั้งแต่ไตรมาส 2Q23 อย่างไรก็ดี เราคาดสินเชื่อจะโตช้า ขณะที่ NIM ที่ลดลง และหุ้นปั่นผลอาจกดดัน ROE ให้ลดลงเหลือ 15% ในปี 2026 เราปรับลดประมาณการกาไรปี 2024-26 ลง 2-9% จากการปรับสมมติฐานผลตอบแทนสินเชื่อและ NIM ที่ลดลง คาดกำไรสุทธิปี 2025 +8.8% y-y ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 45.50 บาท ยังแนะนำ “ถือ”

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 178.20 จุด หรือ -0.42%, ปิดที่ 42,528.36 จุด เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น และอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่นักลงทุนประเมินการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจ ซึ่งบ่งชี้ภาพรวมที่ไร้ทิศทางของภาวะเศรษฐกิจยูโรโซน

(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ ตามทิศทางของตลาดสหรัฐฯหลัง bond yield สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นกดดันตลาด

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่บริเวณ 34.57 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.19%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 69 เซนต์ หรือ 0.94% ปิดที่ 74.25 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดจะอยู่ในภาวะตึงตัว เนื่องจากชาติตะวันตกมีแนวโน้มที่จะใช้มาตรการคว่ำบาตร น้ำมันจากอิหร่านและรัสเซีย นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากความหวัง ที่ว่าอุปสงค์น้ำมันในจีนจะปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 74.66ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.55%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 18.00 ดอลลาร์ หรือ 0.68% ปิดที่ 2,665.40 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากรายงานที่ว่าธนาคารกลางจีนได้เข้าซื้อทองคำติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ส่งผลให้ราคาทองคำลดช่วงบวก ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 2,665.00 ดอลลาร์/ออนซ์

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 871.08/-

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

8 ม.ค.สหรัฐ: รายงานการประชุมเฟด
9 ม.ค.สหรัฐ: Initial Jobless Claims (Jan/4)
10 ม.ค.สหรัฐ: Non-Farm Payroll (ธ.ค.)

จีน: New Yuan Loans (ธ.ค.)

12 ม.ค.จีน: เงินเฟ้อ (ธ.ค.), ส่งออก (ธ.ค.)
14 ม.ค.สหรัฐ: Core PPI (ธ.ค.)
- Advertisement -