KS Daily View 14.01.2025 >>> S&P 500 ฟื้นตัว มอง SET Sideway แบงก์และ Chat with Tony เป็นแรงหนุน มองกรอบ SET วันนี้ 1,350 – 1,380 จุด หุ้นแนะนำ KTB และ BBIK
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้นจากวันศุกร์ Dow Jones และ S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.86% และ 0.16% ตามลำดับ ในขณะที่ Nasdaq Composite ลดลง 0.38% แรงกดดันมาจากหุ้นกลุ่มชิปหลังรัฐบาลไบเดนประกาศกฏควบคุมการส่งออกชิป AI ฉบับใหม่ รวมถึงประเด็นที่มีรายงานปัญหาความร้อนที่สูงเกินไปของ Blackwell ของ Nvidia อย่างไรก็ตามหุ้นกลุ่มพลังงานและสุขภาพปรับตัวขึ้นหนุนตลาดสะท้อนภาพ Sector Rotation โดยตลาดจับตาข้อมูลอัตราเงินเฟ้อได้แก่ PPI ที่จะรายงานวันนี้และ CPI ที่จะรายงานวันพรุ่งนี้
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 13.65 จุด ปิดที่ระดับ 1,354.34 จุด ใกล้เคียงแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,350 โดยมีแรงกดดันหลักจากความกังวลว่าเฟดอาจชะลอการลดดอกเบี้ยหลังตัวเลขการจ้างงานสหรัฐแข็งแกร่ง และผลกระทบต่อการท่องเที่ยวจากปัญหาความปลอดภัยในไทย ส่งผลให้หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและสายการบินปรับตัวลงแรง รวมถึงกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และการเงินที่ได้รับแรงกดดันจาก Bond Yield สหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้น โดย DELTA ส่งผลลบต่อดัชนีราว 8 จุด อย่างไรก็ตาม หุ้นน้ำมันอย่าง PTTEP และธนาคารปรับตัวขึ้นช่วยพยุงตลาดไว้ได้บางส่วน จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นและการเก็งกำไรก่อนประกาศผลประกอบการ โดยTISCO มีกำหนดรายงานผลประกอบการวันนี้ เรามองกรอบที่ 1,350 – 1,380 และคาดว่า SET น่าจะมีแรงรีบาวด์ที่ระดับ 1,350 โดยมีแรงหนุนจาก Sentiment ในงาน Chat with Tony ที่มีการพูดถึง การฟื้นฟูกองทุน LTF การส่งเสริมเทคโนโลยี Data Center และ AI Hub รวมถึงแนวทางส่งเสริมการลงทุนยั่งยืนผ่านตลาดคาร์บอนเครดิต เป็นต้น หุ้นแนะนำเป็น KTB, BBIK
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1. อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เสนอแนวทางฟื้นฟูตลาดทุนไทยและเศรษฐกิจ โดยเน้นการสร้างความเชื่อมั่น เร่งการทำงานของหน่วยงานกำกับดูแล สนับสนุนการเข้าตลาดของบริษัทต่างชาติและธุรกิจใหม่ๆ เช่น Entertainment Complex พร้อมผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินโดยศึกษาโมเดลดูไบและสิงคโปร์ เปิดรับคริปโทเคอร์เรนซีและการเทรด Stable Coin รวมถึงเสนอให้เปิดรับเงินนอกระบบเข้าบัญชีธนาคารโดยไม่ต้องตรวจสอบที่มาแต่ต้องเสียภาษี ด้านการพัฒนาประเทศมุ่งดึงการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์และ AI hub ลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาท/หน่วย พัฒนาทักษะแรงงาน และแก้ปัญหา PM2.5 พร้อมเรียกร้องให้ 3 หน่วยงานเศรษฐกิจหลักคือ สศค. สภาพัฒน์ และ ธปท. ร่วมมือกันผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตถึง 4-5%
2. นายกรัฐมนตรีแพทองธารเปิดเผยว่า ครม.เห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุน รวมถึงแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย โดยโครงการจะมีสัดส่วนกาสิโนเพียง 10% ส่วนที่เหลือเป็นศูนย์บันเทิงครบวงจร เช่น ศูนย์ประชุม สวนน้ำ และสวนสนุก กระทรวงการคลังคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาทต่อแห่ง สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 120,000-240,000 ล้านบาทต่อปี และรายได้ให้รัฐ 12,000-40,000 ล้านบาท พร้อมสร้างงานกว่า 9,000-15,000 ตำแหน่ง ขั้นตอนต่อไปจะส่งร่างให้กฤษฎีกาตรวจสอบใช้เวลา 1-2 เดือน ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
3. ครม.อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 10% ของกำไรสุทธิให้แก่บริษัทที่ประกอบกิจการเป้าหมายในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นระยะเวลา 10 รอบบัญชีต่อเนื่องกัน โดยครอบคลุมรายได้จากการผลิตสินค้าและการให้บริการในเขตเศรษฐกิจพิเศษ มาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการลงทุน การผลิต และการจ้างงานในพื้นที่ชายแดน พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับพื้นที่เศรษฐกิจหลักและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในอาเซียน
4. คณะรัฐมนตรีอนุมัติราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2567/2568 ที่ 1,160 บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวาน 10 ซี.ซี.เอส. และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นที่ 497.14 บาทต่อตันอ้อย โดยใช้ราคาเดียวกันทั่วประเทศทั้ง 9 เขต พร้อมเสนอให้มีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผลผลิตต่ำ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการตัดอ้อยสดแทนการเผา และศึกษาแนวทางการกำหนดราคาที่แตกต่างกันตามเขตการผลิตเพื่อความเป็นธรรมในอนาคต
5. อัตราค่าระวางเรือบรรทุกน้ำมันพุ่งสูงขึ้น 39% ในวันจันทร์ หลังสหรัฐประกาศคว่ำบาตรเรือบรรทุกน้ำมันของรัสเซียประมาณ 160 ลำ หรือราว 10% ของกองเรือบรรทุกน้ำมันดิบทั้งหมด โดยข้อมูลการติดตามเรือพบว่า 33 จาก 39 ลำที่ถูกคว่ำบาตรไม่ได้ขนส่งสินค้าหลังถูกมาตรการของสหรัฐ ส่งผลให้ราคาน้ำมัน Brent ปรับตัวขึ้นมาเหนือ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และผู้กลั่นในอินเดียและจีนต้องเร่งหาน้ำมันจากตะวันออกกลางทดแทน อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะดำเนินการกับมาตรการเหล่านี้อย่างไรเมื่อเข้ารับตำแหน่งในสัปดาห์หน้า
Daily pick
KTB: ราคาพื้นฐาน 23.00 บาท
เราคาดสินเชื่อเดือนพฤศจิกายนยังเติบโต 1.2% จากเดือนก่อนและ 1% จากปีก่อน โดยหลักมาจากสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อภาครัฐที่มีสัดส่วน 27% และ 16% ตามลำดับ โดยไตรมาส 4/2567 น่าจะเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อนเนื่องจากไม่มีการตั้งสำรอง ITD เหมือนไตรมาส 4/2566 ด้านคุณภาพสินทรัพย์ในไตรมาส 3/2567 มี NPL และ NPL formation ที่ลดลงจากความปลอดภัยของพอร์ตสินเชื่อที่มีการทำ MOU สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อที่อยู่อาศัยของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่หักเงินเดือนได้ คิดเป็น 90% และ 50% ตามลำดับ รวมเป็น 30% ของพอร์ตสินเชื่อรวม และอีก 16% เป็นสินเชื่อภาครัฐ ทำให้พอร์ตสินเชื่อราว 46% มีความปลอดภัยสูง นอกจากนี้มีโอกาสเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลจาก 35% หรืออัตราผลตอบแทนปันผล 6% เมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยมูลค่าหุ้นยังอยู่ในโซนถูกเมื่อเทียบกับศักยภาพ ROE ในอนาคต
BBIK: ราคาพื้นฐาน 46.67 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ BBIK ที่จะได้ประโยชน์จากการเพิ่มการลงทุนด้านระบบ IT ของกลุ่มธนาคาร เพื่อยกระดับความปลอดภัยหลังจากรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญกับปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และแนวโน้มการบังคับใช้กรอบความรับผิดชอบร่วมกัน (SRF) ตามแบบสิงคโปร์ที่ให้ธนาคารและบริษัทสื่อสารรับผิดชอบร่วมกันหากเกิดการหลอกลวงออนไลน์ ทั้งนี้ คาดผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ยังแข็งแกร่งจากยอดคงค้างในไตรมาส 3/2567 ที่ยังอยู่ในระดับสูง โดย Valuation อยู่ในระดับ 18 เท่าของกำไรปี 2568 เราคาดราคาปัจจุบันเหมาะสมสำหรับการลงทุนทั้งระยะสั้นและยาว
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันอังคาร ติดตามดัชนีราคาผู้ผลิต (US PPI index) ของสหรัฐฯ สำหรับเดือน ธ.ค. ตลาดคาดที่ 0.4% MoM ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า และดัชนีราคาผู้ผลิตที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน (US Core PPI index) ของสหรัฐฯ สำหรับเดือน ธ.ค. ตลาดคาดที่ 0.3% MoM เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 0.2% YoY
- วันพุธ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ (US CPI) เดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 2.9% YoY เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.7% ขณะที่ Core CPI ตลาดคาดที่ 3.3% YoY ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ต่อด้วยรายงานดัชนีการผลิตรัฐนิวยอร์ก (Empire State Manufacturing Index) เดือน ม.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ -2.0 จุด ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 0.2 จุด
- วันพฤหัสฯ ติดตามดัชนียอดค้าปลีกของสหรัฐ (US Retail Sales) เดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 0.5% MoM ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 0.7% MoM และปิดท้ายด้วยการรายงานจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.01 แสนตำแหน่ง
- วันศุกร์ ติดตามการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของจีนอย่าง GDP 4Q24 ตลาดคาดการณ์ที่ 5.0% YoY เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 4.6% YoY ต่อด้วย ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 5.4% YoY ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า และดัชนียอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 3.5% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 3.0% YoY