Trump Day / 1,330-1,345

คาด SET ปรับตัวลง : รับแรงขายเพื่อลดความเสี่ยงก่อนถึงพิธีสาบานตนของทรัมป์ และการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบ WTI รับการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ซึ่งจะกดดันราคาหุ้นโรงกลั่น และพลังงานต้นน้ำ

กลยุทธ์การลงทุน

  1. เก็งงบ 4Q67: BBL, KBANK, KTB, TCAP, TTB, NER, AMATA
  2. Spending: ADVANC, CPALL, CPAXT, CRC, CBG,CPF, HMPRO, ILM, CPW, TRUE, SNNP
  3. สะสมหุ้นกลุ่มDividend + REITs: FTREIT, LHHOTEL, LHSC, SIRI, WHAIR, WHART, TISCO, TASCO, TCAP, STA, TTW
  4. เก็งกำไรฝั่ง Short : PTTGC, PTTEP, TTA, PRM, SCGP

อาจมีแรงขาย เพราะคืนนี้มีทรัมป์รออยู่ : ตลาดหุ้นไทยวันนี้จะเป็นการเปิดทำการในวันสาบานตนของทรัมป์ ซึ่งจะเกิดขึ้นในเวลา 24.00 น.ตามเวลาไทย ตามกำหนดการจะมีการจะมีการลงนามและขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ว่าจะผลักดันประเทศไปในทิศทางใด และปัญหาใดบ้างที่ปธน.ต้องการจะแก้ไขเร่งด่วน ทั่วโลกต่างจับตาเนื่องจากนับตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้งปธน.ทรัมป์เดินหน้าแสดงจุดยืนใน 1) ประเด็นการตั้งกำแพงภาษีศุลกากร เนื่องจากมองว่าสหรัฐถูกเอาเปรียบจากประเทศต่างๆ ที่เกินดุลกับสหรัฐมาเป็นเวลานาน และได้ประกาศไว้ว่าจะขึ้นกำแพงภาษีทันทีตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับไทยเช่นกันโดยไทยติดอันดับ 2 ใน Trump Risk Index ทำให้มีโอกาสสูงที่จะถูกตั้งกำแพงภาษี และอาจกระทบต่อการค้าระหว่างไทยและสหรัฐ 2) การจัดการกับจีนเพื่อสกัดกันไม่ให้จีนขึ้นเป็นประเทศมหาอำนาจโดยอาจตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้ากับจีนมากถึง 60% แม้ท่าทีล่าสุดทรัมป์กลับมีท่าทีในเชิงบวกต่อจีน พร้อมย้ำว่าตนอยากเยือนจีนในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐ จึงทำให้ทั่วโลกยิ่งสนใจต่อถ้อยแถลงครั้งนี้ว่าสุดท้ายแล้วทรัมป์จะมีท่าทีอย่างไรกับจีน มองตลาดอาจกังวลในความไม่แน่นอนที่อาจตามมาจากถ้อยแถลงของทรัมป์และ อาจมีแรงขายออกมาเพื่อจำกัดความเสี่ยง

อิสราเอล-ฮามาสเริ่มส่งสัญญาณดี กดดันราคาน้ำมัน : สำนักข่าว BBC รายงานว่ารัฐบาลอิสราเอลได้อนุมัติข้อตกลงหยุดยิงและการปล่อยตัวประกันแล้ว ซึ่งได้บังคับใช้ไปเมื่อวานนี้โดยจะหยุดยิงเป็นเวลา 6 สัปดาห์ และจะทยอยปล่อยตัวประกันในช่วงดังกล่าว ช่วยลดความกังวลในประเด็นอุปทานน้ำมันดิบในตลาดโลก มองจะเข้ามาจำกัด Upside ของราคาน้ำมันดิบ ล่าสุดราคาน้ำมันดิบ WIT เริ่มอ่อนกำลังทางขึ้นมาสู่ระดับ 77.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล คาดจะกดดันราคาของหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น และ พลังงานต้นน้ำ

ปัจจัยที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ : สหรัฐ- พิธีสาบานตนของ ทรัมป์ / S&P Global Composite PMI /ยอดขายบ้านมือสอง (Dec) จีน- LPR อายุ 2 และ 5 ปี ญี่ปุ่น- การประชุม B0J ไทย- ผลประกอบการกลุ่มธนาคาร

+ ปัจจัยเพิ่มเติม –

(+) นิตยสาร Time Out รายงานผลการจัดอันดับเมืองที่ดีที่สุดในโลกปี 2025 ผ่านกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยว 2 หมื่นคน โดย กรุงเทพมหานคร ได้คว้า อันดับ 2 เมืองที่ดีที่สุดของโลก จาก 50 เมือง

(+) กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเผยมีเป้าหมายและเดินหน้าการเจรจาความตกลง FTA ในหลายกรอบกับประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจา เช่น FTA ไทย-อียู, FTA ไทย-เกาหลีใต้, FTA ไทย-ภูฏาน, FTA ไทยและสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป นอกจากนี้ ยังมีการเจรจา FTA ในกรอบอาเซียน-แคนาดา โดยตั้งเป้าจะสรุปให้ได้ในปี 68

(-) ธนาคารโลกเตือนว่าการจัดเก็บภาษีน้ำเข้าสินค้าทุกประเภทของสหรัฐ ในอัตรา 10% อาจส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาอยู่แล้วที่ 2.7% ในปี 68 ลดลง 0.3% หากพันธมิตรทางการค้าของสหรัฐตอบโต้ด้วยการจัดเก็บภาษีนำเข้าเช่นคัน

PICKS OF THE DAY

CPALL BUY
  • เป้าหมาย 56.50 / 57.50 แนวรับ 54.50
  • ปัจจัยบวกจาก 10,000 บาท ดิจิทัล: ทางฝ่ายเชื่อว่าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเงิน 10,000 บาท ดิจิทัล จะส่งผลบวกต่อยอดขายของบริษัทในช่วง 1Q68 ได้ ส่วนโครงการ Easy E-receipt อาจไม่ได้ส่งผลบวกต่อธุรกิจ CVS ของบริษัทโดยตรงเนื่องจากการใช้จ่ายต่อใบเสร็จของลูกค้าค่อนข้างต่ำเฉลี่ยที่ 85 บาทต่อใบเสร็จ อาจไม่คุ้มค่ากับการที่ต้องให้ข้อมูลเพื่อลดหย่อนภาษีหลังเข้า 7-Eleven ทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม คาดว่า CPAXT บริษัทลูก CPALL ที่บริหาร Makro & Lotus’s จะได้รับประโยชน์จากทั้ง 2 โครงการ
  • 4Q67 SSSG ยังทรงตัวในแดนบวก: จาก 3Q67 ที่เป็น low season ของกลุ่มค้าปลีก CPALL มี SSSG ที่ +3.3% ทางฝ่ายคาดว่าใน 4Q67 นี้ SSSG จะดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย คาดอยู่ที่ +3.4% ภาพรวมทั้งปี 67 คาดมี SSSG ที่ +3.9% ลดลงจากปีที่แล้ว 160 bps

PTTGC Short

  • เป้าหมาย 20.40 / 21.00 แนวต้าน 22.00
  • แนวโน้ม 4Q67 ถูกกดดัน: วันที่ 15 พ.ย. 67 PTTGC แจ้งตัดสินใจยุติกิจการของ PTTAC ซึ่งเป็นผู้ผลิตอะคริโลไนไตรล์ เนื่องจากบริษัทเผชิญกับการแข่งขันด้านต้นทุน ส่งผลให้บริษัทตัดสินใจตั้ง impairment ไปแล้วในช่วง 3Q67 อย่างไรก็ตาม ใน 4Q67 บริษัทมีแนวโน้มจะตั้งสำรองเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการยุติกิจการนี้ ประมาณ 3,000 ลบ. ทางฝ่ายมองว่าจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นจากปัจจัยลบนี้
  • อุปทานส่วนเกินยังกดดัน : ทางฝ่ายคาดแนวโน้มการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะยังเป็นไปได้ค่อนข้างช้า จากอุปทานส่วนเกินโดยเฉพาะจากจีน เช่นเดียวกับที่จีนมีอัตราการพึ่งพาตนเองสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลต่อการนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีน้อยลง กดดันการฟื้นตัวของส่วนต่างราคาในปีนี้
- Advertisement -