KS Daily View 20.01.2025 >>> รอดูท่าทีทรัมป์รับตำแหน่งคืนนี้/ ติดตามงบกลุ่มแบงก์ไทย มองกรอบ SET วันนี้ 1,330 – 1,350 จุด หุ้นแนะนำ CPALL, CRC

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้: คาดตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,320-1,360 จุด แม้แนวโน้มหลักยังเป็นขาลง แต่อาจมีความผันผวนเพิ่มขึ้นหลังดัชนีปรับตัวลงไปแล้ว 4.3% MTD ทั้งนี้แม้ Bond Yield สหรัฐฯ 10 ปีจะปรับลงหลังเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัว แต่ยังอยู่ในระดับสูงกดดันสินทรัพย์เสี่ยง เช่นเดียวกับค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเพียงเล็กน้อยเนื่องจากยูโรและปอนด์มีแนวโน้มอ่อนค่า สำหรับปัจจัยสำคัญในสัปดาห์นี้คือการสาบานตนของทรัมป์ในคืนวันจันทร์ โดยต้องจับตาว่าจะมีการใช้อำนาจดำเนินนโยบายใดทันทีหรือไม่ โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนซึ่งจะกระทบตลาดเชิงลบ หรือจะเน้นนโยบายภายในประเทศก่อนซึ่งจะเป็นบวกกับตลาด นอกจากนี้ยังต้องติดตามการประชุม BOJ ที่คาดจะขึ้นดอกเบี้ย 25 bps เป็น 0.50% ซึ่งอาจทำให้เงินเยนแข็งค่าและกระทบตลาดญี่ปุ่น สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำเน้นหุ้นขนาดใหญ่ที่ผันผวนต่ำหรือจ่ายปันผลสูง ผสมหุ้นที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในประเทศและคาดผลประกอบการ Q4/67 เติบโตโดดเด่น แนะนำ KTB CPALL CRC BA SHR

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,340.63 จุด ปรับตัวลง 12 จุด ตามตลาดในภูมิภาคก่อนโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง และปัจจัยลบภายในจากกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีประเด็นการปรับลดค่าไฟ รวมถึงหุ้นขนาดกลางเล็กที่เผชิญแรงขายจากความเชื่อมั่นที่ลดลง คาดวันนี้ Sideway ที่กรอบ 1,330 – 1,350 โดยตลาดน่าจะรอดูท่าทีของทรัมป์ในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง และผลประกอบการกลุ่มธนาคารในไทย หุ้นแนะนำเลือก Domestic Play อย่าง CPALL, CRC

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

  1. IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2025 เป็น 3.3% เพิ่มขึ้น 0.1% จากที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนตุลาคม โดยมีปัจจุบันแรงหนุนจากอุปสงค์สหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งกว่าคาด ทำให้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP สหรัฐฯ เป็น 2.7% สูงขึ้น 0.5% ขณะที่จีนคาดว่าจะโต 4.6% ปรับเพิ่มขึ้น 0.1% และไทยถูกปรับลดเหลือ 2.9% จากคาดการณ์เดิมที่ 3% ทั้งนี้ IMF คาดว่าเงินเฟ้อทั่วโลกจะชะลอตัวลงเหลือ 4.2% ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม IMF ระบุว่ายังมีความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายของทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นแต่มีความเสี่ยงในระยะกลาง
  1. รัฐบาลมีนโยบายดึงเงินนอกงบประมาณทั้งเงินรายได้และเงินสะสมจากหน่วยงานต่างๆ มาสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายปี 2569 โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีเงินสะสมฝากไว้สูงถึง 7.8 แสนล้านบาท เพื่อลดภาระงบประมาณของประเทศในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ โดยเฉพาะนโยบายประชานิยม ทั้งนี้สำนักงบประมาณจะพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานที่มีเงินนอกงบประมาณเพียงพอแล้วเป็นรายกรณี
  1. แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่จากจีน 3 ราย ได้แก่ ไฮเออร์ ไมเดีย และไฮเซ่นส์ ประกาศแผนลงทุนในไทยปี 2568 โดยไฮเออร์จะลงทุนกว่าหมื่นล้านบาทเพิ่มกำลังการผลิต ไมเดียลงทุน 2,260 ล้านบาทตั้งโรงงานที่ระยอง และไฮเซ่นส์เล็งขยายการผลิตตู้เย็นและเครื่องซักผ้า สาเหตุการลงทุนมาจากการมองเห็นโอกาสเติบโตในตลาดไทยและการส่งออก โดยตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยมีมูลค่า 70,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตอีก 5% ในปี 2568 รวมถึงการตอบโจทย์แผนการรุกตลาด B2B และการรักษาศักยภาพการแข่งขัน
  1. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเตรียมจัดประชุมกับผู้ประกอบการและตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือชั้นนำในวันที่ 20 มกราคม 2568 เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะหลังจากกรณีOPPO และ Realme ต้องชี้แจง 5 ประเด็นสำคัญกับ สคส. ทั้งนี้ กระทรวงฯ เตรียมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดหลักเกณฑ์การติดตั้งแอปพลิเคชันบนมือถือ โดยอาจให้ ETDA เป็นผู้กำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นการชั่วคราว
  1. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหารือกับ Agoda ที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อร่วมผลักดันแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” ยกระดับไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและกีฬาระดับโลก โดยAgoda จะช่วยประชาสัมพันธ์และสร้าง Grand Privilege ยกระดับประสบการณ์นักท่องเที่ยว ทั้งนี้ ข้อมูลปี 2567 พบว่ากรุงเทพฯ เป็นอันดับ 1 ในการจองเที่ยวบินและประเทศไทยมีการจองที่พักผ่าน Agoda มากที่สุด

Daily pick

CPALL: ราคาพื้นฐาน 78.00 บาท

เราแนะนำเก็งกำไรเชิง Tactical Call ใน CPALL จากมูลค่าหุ้นที่ลดลงต่ำถึงระดับ -2SD ที่ Fwd PE’68 ต่ำกว่า 20 เท่า มีความเสี่ยงขาลงจำกัด และแนวโน้มผลดำเนินงานที่ดีของ CPAXT ที่ CPALL ถือหุ้น 60% จากประโยชน์การควบรวมที่เร็วกว่าคาดและการเติบโตระดับสูงพร้อมการปรับปรุงอัตรากำไรในปี 2568 ขณะที่มูลค่าหุ้นยังถูกกว่า นอกจากนี้ CPALL มียอดขายสาขาเดิมไตรมาส 4/2567 เติบโต 3.5% คาดผลประกอบการจะเติบโตได้ตามคาด และมีโอกาสได้ประโยชน์จากค่าไฟฟ้าที่อาจลดลงเหลือ 3.70-3.90 บาทต่อหน่วย คาดส่งผลบวกต่อกำไรปี 2568 ประมาณ 3% โดยคาดยอดขายสาขาเดิมปี 2568 จะเติบโต 3% พร้อมแผนขยาย 700 สาขา

CRC : ราคาพื้นฐาน 39.00 บาท

เราแนะนำเก็งกำไรหุ้น CRC จากโครงการ Easy e-Receipt ที่เริ่ม 16 มกราคม ซึ่งให้ใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีได้ 50,000 บาท แบ่งเป็นสินค้าทั่วไป 30,000 บาท และสินค้า OTOP ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาชุมชนในห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ยังจะได้ประโยชน์จากเงินดิจิทัลเฟส 2 ที่จะเริ่ม 29 มกราคม และเฟส 3 ในเดือนเมษายน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลบวกต่อยอดขายสาขาเดิมตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 เป็นต้นไป คาดผลประกอบการไตรมาส 4/2567 จะแข็งแกร่งกว่าคาดจากการกลับมาเปิดให้บริการของเซ็นทรัลชิดลมและรีนาเซนเต้ที่อิตาลี พร้อมโอกาสได้ประโยชน์จากค่าไฟฟ้าที่อาจลดลงในอนาคต และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มลดลงเนื่องจากมีเงินกู้อัตราลอยตัวถึง 90%

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

วันจันทร์ ติดตาม Loan Prime Rate ของธนาคารกลางจีน ระยะเวลา 1 ปี และ 5 ปี โดยตลาดคาดว่าจะคงไว้ที่ระดับ 3.10% และ 3.60% ตามลำดับ และพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์

วันอังคาร ติดตามรายงานดัชนีการสำรวจภาพรวมธุรกิจนอกภาคการผลิตของรัฐฟิลาเดลเฟีย เดือน ม.ค.เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -6.0 จุด

วันพุธ ติดตามการให้สัมภาษณ์ของทางประธาน ECB Christine Lagarde ใน World Economic Forum ที่เมือง Davos

วันพฤหัสฯ ติดตามดัชนีความเชื่อมันของผู้บริโภคของยุโรป (EU CCI) เดือน ม.ค. ตลาดคากการณ์ที่ -14.3 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่-14.5 จุด และปิดท้ายด้วยการรายงานจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.17 แสนตำแหน่ง

วันศุกร์ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 3.4% YoY เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.9% YoY ต่อด้วยการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ)ตลาดคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาอยู่ที่ระดับ 0.50% จากเดิมที่ 0.25% และปิดท้ายด้วยตัวเลขยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐ (US Existing Home Sale) เดือน ธ.ค. โดยตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 4.20 ล้านหลัง ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.15 ล้านหลัง

- Advertisement -