บล. ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย):
รัฐจะนำ Copayment มาใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.68 เป็นต้นไป
- รัฐบาลประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.68 เป็นต้นไป จะนำเงื่อนไขการให้มีค่าใช้จ่ายร่วมหรือ copayment ในอัตรา 30-50% ของค่ารักษาพยาบาล มาใช้กับผู้เอาประกันภัยที่ใช้สิทธิ์เกินความจำเป็นที่เข้าเงื่อนไข ประกอบด้วย ผู้เอาประกันภัยที่มีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการใช้บริการแผนกผู้ป่วยนอกสำหรับการรักษากลุ่มโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไปตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในรอบปีกรมธรรม์ตั้งแต่ 200% ของเบี้ยประกันภัย
- รวมถึง ผู้เอาประกันภัยที่มีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยจากการใช้บริการแผนกผู้ป่วยในตั้งแต่ 400% ของเบี้ยประกันภัย ซึ่งไม่รวมการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกรณีที่ป่วยด้วยโรคร้ายแรงหรือการผ่าตัดใหญ่
- อย่างไรก็ตาม เงื่อนไข copayment จะนำมาใช้กับกรมธรรม์ประกันภัยสุขภาพที่ซื้อหรือต่ออายุสัญญาเพิ่มเติม กรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยหลังจากวันที่ 1 มี.ค.68 เท่านั้น
Copayment ช่วยลด moral hazard, ทำให้ธุรกิจประกันภัยมีเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น
- การกำหนดเงื่อนไข copayment จะช่วยลด moral hazard จากการเคลมประกันสุขภาพสูงเกินไปและบ่อยเกินไป โดย copayment น่าจะทำให้ผู้เอาประกันภัยและแพทย์ที่ทำการรักษาพิจารณาถึงความจำเป็นในการรักษาและค่าใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ copayment จะช่วยให้เบี้ยประกันภัยลดลงด้วยการลดการเบิกเคลมที่ไม่จำเป็นและทำให้ธุรกิจประกันภัยมีเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น
คาด Copayment กระทบประมาณการกำไรเพียงเล็กน้อย
- เราเชื่อว่า กลุ่มผู้ประกอบการโรงพยาบาล 6 บริษัทที่ทำการศึกษา ได้แก่ BDMS, BH, BCH, CHG, PR9, RAM โดย BDMS น่าจะมีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยที่ทำประกันภัยสุขภาพเองมากที่สุดหรือ 31% ของรายได้จากค่ารักษาพยาบาลในงวด 9 เดือนปี 67 รองลงมาคือ PR9 ที่ 27% ส่วน BH น่าจะมีสัดส่วนต่ำสุดที่ 19% ขณะที่ประเมินว่า copayment จะส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทที่ศึกษาเพียง 1-2% ในปี 68 และ 2-3% ในปี 69 ซึ่งค่อนข้างน้อย จึงยังไม่รวมไว้ในประมาณการ
แนะนำ เพิ่มน้ำหนักการลงทุน เลือก BH และ BCH เป็นหุ้น Top pick
- ทั้งนี้ กลุ่มการแพทย์ underperform ตลาดอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 4/67 ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก เพราะกังวลกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ชะลอตัวและผลกำไรที่มีแนวโน้มอ่อนตัว ดังนั้น กลุ่มการแพทย์จึงปรับตัวลง 20% เทียบจากสิ้นไตรมาส 3/67 ขณะที่ดัชนี SET ปรับลง6% อย่างไรก็ตาม ยังแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight) กลุ่มการแพทย์ โดยเลือก BH ราคาเป้าหมาย 297 บาท และ BCH ราคาเป้าหมาย 19.70 บาท เป็นหุ้น Top pick
- โดยมองว่า ปัจจัยบวกที่จะหนุนราคาหุ้นกลุ่มนี้ คือ การกลับมาของผู้ป่วยชาวต่างชาติและผู้ป่วยจากคูเวต แต่คำแนะนำจะมี downside risk หากจำนวนผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการลดลงมาก หลังการบังคับใช้ copayment และรัฐบาลคูเวตประกาศรายชื่อโรงพยาบาลไทยที่ประชาชนสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลจากรัฐล่าช้า