KS Daily View 21.01.2025 >>> ทรัมป์ยังไม่ขึ้น Tariff ส่งผลดอลลาร์อ่อนค่าแรง มองกรอบ SET วันนี้ 1,330 – 1,360 จุด หุ้นแนะนำ KKP, AAV

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการเนื่องในวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์

ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,340.50 จุด ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันศุกร์ที่แล้วและค่อนข้างอ่อนกว่าตลาดในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น รับปัจจัยบวกจากการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่าง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อวันศุกร์ สร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการผ่อนคลายความตึงเครียด โดยกลุ่มที่ปรับตัวลงกดดันตลาด ได้แก่ พลังงาน สื่อสาร โรงพยาบาล ท่องเที่ยว และปิโตรเคมี ในขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก การเงิน และขนส่ง เป็นกลุ่มที่คอยหนุนตลาด

ในขณะที่ประเด็นสำคัญเมื่อคืนนี้อยู่ที่การสาบานสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งยังไม่มีการประกาศขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) แต่จะออกบันทึกสั่งการให้หน่วยงานรัฐประเมินความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน แคนาดา และเม็กซิโก ทำให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าจากระดับ 109.4 มาที่บริเวณ 108 และทำให้สกุลเงินในเอเชียแข็งค่าด้วย โดยค่าเงินบาทแข็งค่ามาที่บริเวณ 34.1 บาทต่อดอลลาร์ นอกจากนี้ยังประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติเพื่อลดราคาพลังงานในสหรัฐฯ และส่งสัญญาณว่าจะถอนตัวจาก Paris Agreement ส่งผลให้ราคาน้ำมัน WTI และ Brent ปรับตัวลงราว 1% เรามองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้และคาด SET น่าจะรีบาวด์ได้โดยมองกรอบที่ 1,330 – 1,360 หุ้นแนะนำเป็น KKP, AAV

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1.   ทรัมป์ชะลอการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนทันทีในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง โดยสั่งให้รัฐบาลศึกษาแนวทางจัดการกับการค้าที่ไม่เป็นธรรมในระดับโลกและตรวจสอบว่าจีนได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าในสมัยแรกหรือไม่ การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงท่าทีที่ประนีประนอมมากขึ้นและความต้องการเจรจาข้อตกลงใหม่กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แม้ในระหว่างหาเสียงทรัมป์เคยสัญญาจะขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 60% และสินค้านำเข้าทั่วไป 10-20% อย่างไรก็ตาม ตลาดยังกังวลว่าทรัมป์อาจเปลี่ยนใจและประกาศขึ้นภาษีในอนาคตอันใกล้

2.   ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง หลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศในสุนทรพจน์รับตำแหน่งว่าจะใช้อำนาจประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติเพื่อลดราคาพลังงานในสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายลดราคาน้ำมันเบนซินและค่าไฟฟ้าลงครึ่งหนึ่งภายในปีแรก ผ่านการอนุมัติการขุดเจาะน้ำมัน วางท่อส่งน้ำมัน สร้างโรงกลั่นและโรงไฟฟ้าใหม่ รวมถึงยกเลิกนโยบายด้านพลังงานของไบเดนที่เกี่ยวกับการส่งออกก๊าซธรรมชาติ การขุดเจาะน้ำมัน และมาตรฐานมลพิษ

3.   ทักษิณ ชินวัตร ได้กล่าวระหว่างการปราศรัยหาเสียงให้ผู้สมัครนายก อบจ.มหาสารคามว่า เงินดิจิทัล 10,000 บาทเฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะเข้าบัญชีวันที่ 27 มกราคมนี้ ส่วนเฟส 3 สำหรับผู้มีอายุ 16-59 ปี จะทยอยเข้าบัญชีช่วงมีนาคม-เมษายน 2568 หลังระบบเทคโนโลยีเรียบร้อย โดยยอมรับว่าการดำเนินการอาจช้ากว่าที่ตั้งใจเพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้ควบคุมทุกกระทรวงเหมือนแต่ก่อน และระบบราชการมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก

4.   ประเทศในเอเชียหลายประเทศ รวมถึงเกาหลีใต้ ไต้หวัน และเวียดนาม เตรียมเพิ่มการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯ เพื่อช่วยให้การเจรจาด้านภาษีกับรัฐบาลทรัมป์ง่ายขึ้น หลังจากที่ทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีเพิ่มกับประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุล โดยการเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับนโยบายของทรัมป์ที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลและเพิ่มการส่งออกก๊าซของสหรัฐฯ เป็นสองเท่าภายในปี 2573

5.    กระทรวงพาณิชย์เตรียมรับมือนโยบายการค้าของทรัมป์ที่อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกไทย 29 กลุ่มที่เสี่ยงถูกสหรัฐขึ้นภาษี โดยสหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็น 18% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด มูลค่า 54,956.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 และไทยเกินดุลการค้า 35,427.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่เสี่ยงถูกขึ้นภาษีได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าเกษตรบางรายการ ทั้งนี้ รัฐมนตรีพาณิชย์มีแผนนำคณะผู้บริหารเยือนสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เพื่อเจรจาขอยกเว้นการขึ้นภาษีสินค้าจากไทย

Daily pick

KKP: ราคาพื้นฐาน 56.00 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ KKP จากผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ที่มีกำไร 1.4 พันล้านบาท เติบโต 7% จากไตรมาสก่อนและ 109% จากปีก่อน โดยรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเติบโตโดดเด่น 9% จากไตรมาสก่อนและ 21% จากปีก่อน จากธุรกิจตลาดทุน และกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมที่เพิ่มขึ้นเป็น 484 ล้านบาทจาก 60 ล้านบาทในไตรมาสก่อน นอกจากนี้ผลขาดทุนจากการขายทรัพย์สินลดลงในไตรมาส 4/2024 พร้อมต้นทุนด้านเครดิตที่ลดลงส่งผลให้ Credit Cost ลดลงเหลือ 2.18% ทำให้ทั้งปีอยู่ที่ 2.30% ต่ำกว่าเป้าหมาย 2.35-2.5% จากการเน้นปล่อยสินเชื่อคุณภาพสูงและคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

AAV: ราคาพื้นฐาน 3.22 บาท

เราคาดว่า AAV จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ที่แข็งแกร่ง โดยมีกำไรปกติราว 1.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 90% จากปีก่อน จากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ด้วยจำนวนเครื่องบินที่เพิ่มเป็น 60 ลำจาก 56 ลำในปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากเชื้อเพลิง Jet Fuel ที่ลดลง 4% จากไตรมาสก่อนและ 18% จากปีก่อน คาดรายได้จะแข็งแกร่งต่อเนื่องถึงไตรมาส 1/2569 จากจำนวนผู้โดยสารและค่าโดยสารที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้าปี 2569 ที่ 6.8 เท่า พร้อมการเติบโตของกำไร 30%

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันอังคาร ติดตามรายงานดัชนีการสำรวจภาพรวมธุรกิจนอกภาคการผลิตของรัฐฟิลาเดลเฟีย เดือน ม.ค.เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -6.0 จุด
  • วันพุธ ติดตามการให้สัมภาษณ์ของทางประธาน ECB Christine Lagarde ใน World Economic Forum ที่เมือง Davos
  • วันพฤหัสฯ ติดตามดัชนีความเชื่อมันของผู้บริโภคของยุโรป (EU CCI) เดือน ม.ค. ตลาดคากการณ์ที่ -14.3 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่-14.5 จุด และปิดท้ายด้วยการรายงานจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.17 แสนตำแหน่ง
  • วันศุกร์ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 3.4% YoY เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.9% YoY ต่อด้วยการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ)ตลาดคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาอยู่ที่ระดับ 0.50% จากเดิมที่ 0.25% และปิดท้ายด้วยตัวเลขยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐ (US Existing Home Sale) เดือน ธ.ค. โดยตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 4.20 ล้านหลัง ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.15 ล้านหลัง
- Advertisement -