KS Daily View 28.01.2025 >>> DeepSeek จีนเขย่าตลาดโลก Nasdaq ร่วง 3% มองกรอบ SET วันนี้ 1,330 – 1,360 จุด หุ้นแนะนำ CPALL, TTB
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงแรงโดยเฉพาะ Nasdaq Composite ที่ลดลง 3.07% และS&P 500 ลดลง 1.46% แรงกดดันมาจากหุ้นกลุ่มชิปอย่าง NVIDIA, Broadcom, Marvell ปรับตัวลงราว 17 – 19% หลังสตาร์ทอัพจีน DeepSeek ได้เปิดตัว DeepSeek R1 ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่า GPT-4o ของ OpenAI แต่มีต้นทุนการฝึกฝนที่ต่ำกว่ามาก ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าแท้จริงแล้วการพัฒนา AI มีความจำเป็นต้องใช้พลังงานและชิปขั้นสูงที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์หรือไม่ ซึ่งอาจผลักดันให้ผู้บริการรายอื่นในสหรัฐฯ ต้องปรับลดราคาลงตามและจะส่งผลต่อคำสั่งซื้อชิปจนทำให้บริษัทต้นน้ำของ Supply Chain ปรับตัวลงแรง อย่างไรก็ตาม Dow Jones ปรับตัวขึ้น 0.65% จากหุ้นในกลุ่ม Defensive อย่าง Healthcare และ Consumer Staples ปรับตัวขึ้นได้ราว 2-3%
ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,340.94 จุด ปรับตัวลงราว 13 จุด โดยมีมูลค่าซื้อขายราว 30,700 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันมีสถานะขายสุทธิที่ 1,012 และ 1,202 ล้านบาทตามลำดับ แรงกดดันหลักมาจากหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะ DELTA ที่ปรับตัวลงราว 6% ตามหุ้นในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก จากประเด็น DeepSeek นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากประเด็นการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อโคลอมเบียอีกด้วย เรามองประเด็นกดดันของหุ้นกลุ่มชิปน่าจะยังคงอยู่สักระยะ ซึ่งอาจกดดันดัชนีที่มีหุ้นเทคโนโลยีในสัดส่วนที่สูง ในทางตรงกันข้าม เรามองเป็นบวกเล็กน้อยต่อภูมิภาคอาเซียนที่มีหุ้นเหล่านี้ในสัดส่วนที่ต่ำ ทำให้ในระยะสั้นตลาดในอาเซียนรวมถึงตลาดหุ้นไทยที่เน้นกลุ่ม Value น่าจะเป็นหลุมหลบภัยได้ เรามองกรอบ SET ที่ 1,330 – 1,360 จุด แนะนำหุ้น Domestic Play อย่าง CPALL และหุ้น Dividend Play อย่าง TTB
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1. กระทรวงพลังงานเร่งหาแนวทางลดค่าไฟฟ้าให้ต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วย โดยอยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับรูปแบบ Adder และ FiT คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2-3 เดือน ทั้งนี้มองว่านโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ผลักดันการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้นอาจช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า พร้อมเตรียมแผนขับเคลื่อนพลังงานปี 2568 ผ่าน 3 เป้าหมายหลักคือความมั่นคงทางพลังงาน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และพลังงานคาร์บอนต่ำ
2. รองนายกฯ และรมว.คลัง พิชัย ชุณหวชิร ยืนยันบริหารงบประมาณขาดดุลให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ พร้อมเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดการลงทุนในธุรกิจดิจิทัล กรีน เซมิคอนดักเตอร์ และ AI ขณะที่ต้องติดตามความไม่แน่นอนจากนโยบายของทรัมป์อีก 1-2 เดือน ด้านนโยบายการเงินยังต้องการเห็นดอกเบี้ยลดลงเพื่อช่วยลดภาระหนี้ภาคประชาชนและรัฐบาลรวมกว่า 26 ล้านล้านบาท โดยมั่นใจเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโต 3-3.5% จากการบริโภคภาคเอกชน การส่งออก และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว
3. AI สตาร์ทอัพจีน DeepSeek สร้างความตื่นตระหนกในตลาดหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ และยุโรป ส่งผลให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ หลังแอพ AI ใหม่ของบริษัทขึ้นแท่นอันดับ 1 บน App Store ท้าทายโมเดลที่มีต้นทุนสูงกว่าอย่าง OpenAI สร้างความกังวลต่อการลงทุนในเทคโนโลยีAI โดย Marc Andreessen นักลงทุนชื่อดังยกย่องว่าเป็น “หนึ่งในความก้าวหน้าที่น่าทึ่งที่สุด” เนื่องจากแอพสามารถแสดงกระบวนการคิดและเหตุผลในการตอบคำถามได้อย่างโปร่งใส ความสำเร็จนี้ท้าทายความเชื่อที่ว่าเทคโนโลยี AI ของจีนล้าหลังสหรัฐฯ หลายปี แม้จะถูกสหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึงชิปขั้นสูง
4. จีนประกาศยอมรับการส่งกลับพลเมืองที่อยู่ในสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขู่เก็บภาษีนำเข้าจากโคลอมเบียสูงถึง 50% ที่ปฏิเสธรับผู้อพยพกลับประเทศ โดยในปี 2022 มีชาวจีนที่อยู่ในสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายราว 210,000 คน และตัวเลขน่าจะเพิ่มขึ้นหลังการระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ จีนได้รับชาวจีนที่ถูกส่งกลับ 4 เที่ยวบินในปีที่แล้ว หลังจากไม่รับตั้งแต่ปี 2018 และทรัมป์ก็แสดงท่าทีประนีประนอมกับจีนมากขึ้น โดยขู่เก็บภาษีเพียง 10% หากไม่หยุดยั้งการไหลเข้าของยาเฟนทานิล แทนที่จะเป็น 60% ตามที่เคยขู่ในช่วงหาเสียง
5. ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศถอนการขู่เก็บภาษีนำเข้า 25% จากโคลอมเบีย หลังบรรลุข้อตกลงเรื่องการรับผู้อพยพกลับประเทศ โดยโคลอมเบียยอมรับเงื่อนไขทั้งหมดรวมถึงการอนุญาตให้เครื่องบินทหารสหรัฐฯ ลงจอดได้ แม้จะเป็นชัยชนะของทำเนียบขาว แต่การขู่ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองอย่างรวดเร็วและการกลับลำในเวลาไม่กี่ชั่วโมง สร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลกและความกังวลว่าทรัมป์อาจใช้มาตรการคล้ายกันนี้กับประเทศอื่น โดยเฉพาะเม็กซิโกที่มีมูลค่าการค้ากับสหรัฐฯ สูงกว่าโคลอมเบียเกือบสองเท่า
Daily pick
CPALL: ราคาพื้นฐาน 78.00 บาท
เราแนะนำเก็งกำไรเชิง Tactical ใน CPALL จากมูลค่าหุ้นที่ลดลงต่ำถึงระดับ -2SD ที่ Fwd PE’69 ประมาณ 18 เท่า ทำให้มีความเสี่ยงขาลงจำกัด และแนวโน้มผลดำเนินงานที่ดีของCPAXT ที่ CPALL ถือหุ้น 60% จากประโยชน์การ Synergy ที่เร็วกว่าคาดและการเติบโตระดับสูงพร้อมการปรับปรุงอัตรากำไรในปี 2568 นอกจากนี้คาดธุรกิจร้านสะดวกซื้อจะมียอดขายสาขาเดิม (SSSG) ไตรมาส 4/2567 เติบโต 3.5% ส่งผลให้ผลประกอบการเติบโตได้ตามคาด อีกทั้งมองแนวโน้มการเติบโตเชิงบวกในปี 2569 จากยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่จะเติบโต 3% พร้อมการขยายอัตรากำไรอย่างต่อเนื่อง
TTB : ราคาพื้นฐาน 1.98 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ TTB จากการตั้งเป้าปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์และต้นทุนให้ดีขึ้นในปี 2569 พร้อมเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อที่ 0-2% และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยไม่เกิน 10% โดยตั้งเป้าอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่เกิน 2.9% และคาดว่า NPL Formation จะลดลงพร้อมต้นทุนทางเครดิตที่อาจต่ำกว่าปี 2567 นอกจากนี้ TTB ยังมีแนวโน้มการบริหารจัดการเงินทุนที่ดีขึ้น ทั้งโอกาสในการซื้อหุ้นคืนและการจ่ายปันผล 60-70% ของกำไร ส่งผลให้คาดการณ์อัตราเงินปันผลที่ 7% ในปี 2568
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
วันอังคาร ติดตามคำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ (US Durable Goods Orders) เดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +0.50% MoM เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ -1.2% MoM ต่อด้วยรายงานดัชนีภาคการผลิตของรัฐริชมอนด์ (Richmond Manufacturing Index) เดือน ม.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -10 จุด
วันพุธ ติดตามผลการประชุม FOMC โดยตลาดคาดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4.50%
วันพฤหัสฯ ติดตามดัชนีความเชื่อมันของผู้บริโภคของยุโรป (EU CCI) เดือน ม.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ -14.3 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -14.5 จุด ต่อด้วยการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่คาดว่าจะมีการปรับลด Deposit Rate ลง 25 bps จาก 3.00% เหลือ 2.75%, การรายงานจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.17 แสนตำแหน่ง และ GDP 4Q24 รอบแรกของสหรัฐฯ ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะขยายตัว +2.7% QoQ ชะลอตัวลงจากที่เคยขยายตัว +3.1% QoQ ใน 3Q24
วันศุกร์ ติดตามรายงานตัวเลขส่งออกจากธปท. (TH Export)เดือน ธ.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 9.1% YoY และตัวเลขนำเข้าเดือน (TH Import) ธ.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 2.3%YoY และตัวเลขของสหรัฐ ดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคพื้นฐานส่วนบุคคล (Core PCE Price Index) เดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 2.8% YoY ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ต่อด้วยดัชนีรายได้ส่วนบุคคล (Personal Income) เดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 0.4% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.3% MoM และดัชนีการใช้จ่ายส่วนบุคคล (Personal Spending) เดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 0.5% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.4%MoM