บล.กสิกรไทย:

กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อู่ตะเภา พร้อมสำหรับการออกบินแล้ว

  • เลขาธิการ EEC วางแผนออกประกาศเริ่มดำเนินโครงการ (NTP) เพื่อเริ่มก่อสร้างเมืองการบิน โดยไม่รอรถไฟความเร็วสูง
  • สิ่งนี้เป็นบวกต่อ STECON, BTS และ BA ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการ STECON ยังมีโอกาสได้รับงานก่อสร้างโครงการเมืองการบินมูลค่า 2.36 แสนลบ.
  • มีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มธุรกิจก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม โครงการในพื้นที่ EEC ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เรายังคงเลือก CK และ SEAFCO เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้

Highlights

  • เหตุการณ์ ตามรายงานของ TNN Thailand คุณจุฬา สุขมานพ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยว่า บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) มีแผนที่จะเริ่มการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารและเมืองการบินก่อนการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง โดย BA ถือหุ้น 45% ใน UTA, BTS ถือหุ้น 35% และ STECON ถือหุ้น 20%
  • สรุป EEC โครงการในพื้นที่ EEC ประกอบด้วยโครงการเมกะโปรเจกต์ 4 โครงการ (แผนภาพ 2): ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (GULF + PTT JVs ได้รับสัมปทาน), ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (GULF + PTT + Chec Oversea Infrastructure Holding), รถไฟความเร็วสูง (CP + ITD + BEM หรือ Aisa Era One), และสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา (BA + BTS + STECON หรือ UTA) เบื้องต้น EEC มีแผนให้เริ่มก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงก่อน แล้วจึงเริ่มก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภา อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดความล่าช้าอย่างยาวนานของโครงการรถไฟความเร็วสูง ขณะนี้ EEC มีแผนอนุญาตให้ UTA เริ่มก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภาก่อนโครงการรถไฟความเร็วสูง
  • โครงการที่เริ่มดำเนินการแล้ว ปัจจุบันโครงการในพื้นที่ EEC ที่ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ได้แก่ 1) ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (มูลค่าโครงการ 1 หมื่นลบ. โดย ITD เป็นผู้รับเหมา) 2) ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ส่วนที่ 1 (มูลค่าโครงการ 2.1 หมื่นลบ. โดย CNCC) และ 3) รันเวย์และทางขับที่ 2 ของสนามบินอู่ตะเภา (มูลค่าโครงการ 1.3 หมื่นลบ. โดย ITD)
  • โครงการที่ยังเหลือ โครงการที่เหลือในพื้นที่ EEC ได้แก่
1) รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (มูลค่า 1.13 แสนลบ. โดย ITD);
2) มอเตอร์เวย์สาย M7 (มูลค่า 4.5 พันลบ.อยู่ในขั้นตอนการประมูล)
3) อาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภา (มูลค่า 2.7 หมื่นลบ. โดย STECON)
4) ศูนย์ขนส่งสินค้าทางอากาศ สาธารณูปโภค และเมืองการบิน ระยะที่ 1 (มูลค่า 1.3 หมื่นลบ. ยังไม่มีผู้รับเหมา)
5) ระยะที่เหลือของโครงการเมืองการบิน (มูลค่า 2.36 แสนลบ. ยังไม่มีผู้รับเหมา)
6) ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ส่วนที่ 2 (มูลค่า 7.3 พันลบ. โดย China Harbour Engineering)
7) ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ส่วนที่ 2 (มูลค่า 1.54 แสนลบ. รอเปิดประมูล)
  • ทั้งนี้ โครงการที่เกี่ยวข้องกับสนามบินอู่ตะเภามี UTA เป็นเจ้าของโครงการ โดยมี STECON เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มกิจการร่วมค้า ดังนั้น STECON มีโอกาสสูงที่จะได้รับสัญญาเพิ่มเติมในโครงการที่เกี่ยวข้องกับสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2.37 แสนลบ.
  • การวิเคราะห์ของเรา ในแง่ของการประเมินมูลค่า เราได้รวมมูลค่าการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร (มูลค่า 2.7 หมื่นลบ.) สำหรับ STECON แล้ว แต่ยังไม่ได้รวมมูลค่าที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการ UTA สำหรับ STECON, BTS และ BA ตามข้อมูลจาก BTS คาดว่าโครงการ UTA จะมี IRR อยู่ที่ 10-11% หากสมมติ IRR ที่ 10% และมูลค่าการลงทุนเท่ากับส่วนทุนใน UTA ที่ 4 หมื่นลบ. อาจสร้าง upside ให้กับ STECON ที่ 1.34 บาทต่อหุ้น (13.1% ของราคาเป้าหมายของเรา) BTS ที่ 0.22 บาทต่อหุ้น (4.7% ของราคาเป้าหมายของเรา) และ BA ที่ 2.17 บาทต่อหุ้น (8.1% ของราคาเป้าหมายของเรา) (แผนภาพ 6) ทั้งนี้ ควรสังเกตว่ายังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระยะเวลา รายละเอียดโครงการ และความสามารถในการทำกำไร
มุมมอง KS
  • มุมมองเชิงบวก เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ โดยเชื่อว่าความคืบหน้าของโครงการ EEC จะส่งผลบวกต่อ
    • STECON (แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.20 บาท)
    • BTS (แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 4.67 บาท)
    • BA (แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 26.87 บาท)
    • ITD (ไม่มีคำแนะนำ)
  • อย่างไรก็ตาม โครงการเหล่านี้ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้นเราจึงยังไม่ได้รวมมูลค่าที่อาจเกิดขึ้นในประมาณการมูลค่าของเรา หุ้นเด่นที่เรายังคงแนะนำคือ CK (แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 27.30 บาท) และ SEAFCO (แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 2.85 บาท) เนื่องจากเราคาดการณ์ว่ากำไรจะแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของ backlog ที่สูงขึ้น

- Advertisement -