บล. ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย):
วิเคราะห์งบ 4Q ของกลุ่ม Bank และ Preview งบ 4Q กลุ่ม Telco, KCE, SCGP, OR และ ทิศทางของ WHA
Banks
- กลุ่มธนาคารไทยทำกำไรสุทธิใน 4Q24 สูงกว่าประมาณการของ Bloomberg consensus เนื่องจากมีอัตราการสำรองหนี้สูญลดลงและอัตราการเติบโตของสินเชื่อสูงขึ้น
- ขณะที่ยอดสินเชื่อรวมของกลุ่มขยายตัว 0.3% yoy และ 1.8% qoq ใน 4Q24 อีกด้านหนึ่ง กลุ่มธนาคารมีอัตราส่วน NPL ลดลง 18bp qoq เป็น 3.61% และ มีอัตราการสำรอง หนี้สูญลดลง 9bp qoq เป็น 141bp
- เราคาดว่าธนาคาร 8 แห่งที่ศึกษาจะมีสินเชื่อเติบโตเพียง 1.1-2.7% และมีกำไรสุทธิเติบโต 3.7-4.5% ในปี 2025-27
- ธนาคารบางแห่งออกมาเปิดเผยเป้าหมายทางการเงินในปี 2025 หลังประกาศผลประกอบการ 4Q24 โดยตั้ง เป้าสินเชื่อขยายตัวเพียง 0-3% เนื่องจากธนาคารมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อธุรกิจสินเชื่อและให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างหนี้ โดย เราพบว่าธนาคารยังกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ของสินเชื่อรายย่อย
- อีกทั้ง มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คือ “คุณสู้ เราช่วย” ยังมีอัตราการอนุมัติต่ำ ทั้งนี้ธปท. เปิดเผยว่าลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการเพียง 10% ที่ได้รับอนุมัติ
เรายังแนะนำ Neutral กลุ่มธนาคาร โดยมี SCB และ KTB เป็นหุ้น Top pick
- ธนาคารบางแห่งอย่างเช่นธนาคารทหารไทยธนชาต กำลังพิจารณา เรื่องการซื้อหุ้นคืนตามข้อเสนอของรัฐบาล ขณะที่ธนาคารบางแห่งจะปรับขึ้นอัตราการจ่ายเงินปันผลเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นรวมทั้งเพิ่ม ROE ทั้งนี้ KTB และ KBANK น่าจะจ่ายเงินปันผลสูงขึ้นในปี 2025
TTB ยังคงระมัดระวังเรื่องคุณภาพสินทรัพย์และการขยายพอร์ตสินเชื่อในปี 2025
- ผู้บริหารของ TTB ประกาศเป้าหมายในปี 2025 ระหว่างการประชุมนักวิเคราะห์ประกอบด้วยอัตราการเติบโตของสินเชื่อ 0-2% / ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) อยู่ที่ 3.10-3.25% ในปี FY25 (vs. 3.26% ใน 2024) และ คาดว่าอัตราส่วน NPL จะไม่เกิน 2.9% ในปี 2025 จาก 2.6% ในปี 2024
- นอกจากนี้ TTB ยังมีเป้าหมายระยะยาว (FY25-30) ที่จะทำให้ ROE สูงกว่า 10% (vs. 9.0% ในปี FY24) รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อที่มีอัตราผลตอบแทนสูงเป็น 30-35% ของพอร์ตสินเชื่อรายย่อย (vs. 31% ในปี FY24), เพิ่มสัดส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยต่อสินทรัพย์รวม เป็น >1% (vs. 0.74% ในปี FY24) และ ลดอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 40% (vs. 42.6% ในปี FY24)
- เราปรับประมาณการ EPS ในปี FY25-27 ขึ้น 6.3-8.6% หลังปรับลดสมมติฐานอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้และการรับรู้ผลประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 2.9/2.4/2.4 พันล้านบาทจากเดิมที่คาดไว้ 2.4/2.2/2.2 พันล้านบาทในปี FY25/26/27
- เรายังแนะนำ “ถือ” TTB แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเล็กน้อยเป็น 1.88 บาท (P/BV 0.73x 2025)
KCE
- เราเชื่อว่าปี 2025F จะยังคงท้าทายสำหรับ KCE ต่อไป เนื่องจากการผลิตยานยนต์ทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัวและการขึ้นภาษีที่อาจเกิดขึ้นจากสหรัฐฯ
- เราคาดว่า ยอดขาย และ EPS ของ KCE ในปี 25F จะทรงตัวที่ 2% yoy และ 6% yoy ตามลำดับ โดยได้รับแรงกดดันหลักจาก 1) อุปสงค์ที่อ่อนแอ และ 2) ข้อจำกัดด้านกำลังการผลิตของ KCE สำหรับผลิตภัณฑ์ HDI
- สำหรับ 4Q24 เราคาดว่ากำไรสุทธิและรายได้ของ KCE ในไตรมาส 4 ปี 2567 จะลดลง 14% qoq และ 6% qoq เป็น 333 ล้านบาท และ 3.57 พันล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากอุปสงค์ตามฤดูกาลอ่อนตัวและผู้ผลิตรถยนต์ลดการผลิต แม้ว่ากำไรของ KCE น่าจะเผชิญกับอุปสรรคจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น้อยลงในไตรมาส 4 แต่เราคิดว่า GPM ของบริษัทยังคงอ่อนแอที่ 19.8%
- อย่างไรก็ดี เรา Upgrade KCE จาก “ขาย” เป็น “ถือ” ด้วยราคาเป้าหมาย 25 บาท เนื่องจากเราเห็นว่ายอดขายและอัตรากำไรของบริษัทเริ่มทรงตัวในครึ่งแรกของปี 2568 แล้วแต่อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าการเติบโตของ EPS ในปี 2568 ที่ชะลอตัวน่าจะจำกัดการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า
Telco
- เราเชื่อว่าบริษัทโทรคมนาคมไทยจะรายงานผลประกอบการดีใน 4Q24 เนื่องจากทั้งธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ ธุรกิจบรอดแบนด์น่าจะมีรายได้จากการให้บริการเติบโตเป็นบวกในไตรมาส
- บริษัทโทรคมนาคมน่าจะมี SG&A เพิ่มสูงขึ้น qoq ตาม ฤดูกาล (ค่าใช้จ่ายทางการตลาดเพิ่มขึ้นช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่) จึงน่าจะทำให้กำไรสุทธิอ่อนตัวลง qoq ใน 4Q24
- เราคาดว่า AIS จะมีกำไรสุทธิเติบโต 24.6% yoy แต่ลดลง 0.7% qoq เป็น 8.7 พันล้านบาทใน 4Q24 ด้วยปัจจัยหนุนจากรายได้การให้บริการที่ยังเติบโตดีและยอดขายเครื่องโทรศัพท์ที่เพิ่มขึ้นช่วงไฮ-ซีซั่นของธุรกิจหลัก แต่ SG&A จะเพิ่มสูงขึ้นใน 4Q24 เช่นกัน ขณะที่เราเชื่อว่าการประเมินมูลค่าที่ P/BV 8.7x และ P/E 23x ในปี 2025 น่าจะสะท้อนผลประกอบการที่แข็งแกร่งในปี 2024 แล้ว
- เราคาดว่า True Corp จะมีขาดทุนสุทธิ 1.6 พันล้านบาท (-85.7% yoy, +98.8% qoq) ใน 4Q24 จากการบันทึกการตัดจำหน่ายและการด้อยค่าของสินทรัพย์ 4.2 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม เราประมาณการว่าบริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ อยู่ที่ 2.6 พันล้านบาทหรือต่ำกว่า 3.1 พันล้านบาทใน 3Q24 เราจึงมองว่า True Corp มีการประเมินมูลค่าที่ premium ที่ P/BV 4.7x และ P/E 43x ในปี 2025 สะท้อน กำไรที่ฟื้นตัวหลังจากรับรู้ปัจจัยลบทั้งหมดในปี 2024
- คงคำแนะนำ Neutral กลุ่มโทรคมนาคมไทย โดย เราแนะนำ “ถือ” AIS และ TRUE ที่ราคาเป้าหมาย 287.00 บาท และ 12.70 บาท ตามลำดับ
OR
- เราเชื่อว่าส่วนแบ่งตลาดของ OR น่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำหรือที่ 35% ใน 1H24 แม้จะยังห่างไกลจากระดับปกติที่ 37-38% เนื่องจากตลาดในประเทศยังมีการแข่งขันรุนแรง
- นอกจากนี้ เรามองว่าราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นกระทันหันในเดือนต.ค. น่าจะทำให้ค่าการตลาดของ OR หดตัว ก่อนจะกลับมาอยู่ในระดับปกติในเดือนพ.ย.-ธ.ค. 2024 อีกทั้ง 3Q24 ไม่มีขาดทุนสูงจากสต๊อกน้ำมัน เราจึงคาดว่าค่าการตลาดของ OR อาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 0.85 บาท/ลิตรใน 4Q24 (vs. 0.51 บาท/ลิตรใน 3Q24)
- การที่ OR ยุติการดำเนินธุรกิจ Non-oil ที่ไม่ทำกำไรน่าจะช่วยให้ EBITDA margin เพิ่มสูงขึ้นในปี 2025 โดย ปริมาณการขายกาแฟของ Café Amazon ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 103 ล้านแก้ว (+8% yoy) ใน 4Q24 จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งตามฤดูกาลและเมนูพิเศษที่สามารถดึงดูดลูกค้า
- เราเชื่อว่า EBITDA margin ของ OR จะฟื้นตัวจาก 20.3% ใน 3Q24 มาอยู่ที่ประมาณ 26% ใน 4Q24 เพราะไตรมาสนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของ Found & Found (ธุรกิจไลฟ์ สไตล์) เหมือนที่รายงานในไตรมาสสาม ขณะเดียวกัน เราเชื่อว่าว่า EBITDA margin ของธุรกิจ Non-oil อาจเพิ่มขึ้นจาก 25.3% ในปี 2024 มาอยู่ที่ประมาณ 26% ในปี 2025 หลังจากบริษัทยุติการดำเนินธุรกิจ Texas Chicken ใน 3Q24 ซึ่งเป็นธุรกิจที่กดดันมาร์จินในอดีต
- เราปรับเพิ่มคำแนะนำ ของ OR จาก “ขาย” เป็น “ถือ” ราคาเป้าหมาย 11.70 บาท เพราะเชื่อว่าค่าการตลาดน้ำมันแตะจุดต่ำสุดแล้ว และ ธุรกิจ Non-oil น่าจะมี EBITDA margin เพิ่มสูงขึ้นหลังยุติการดำเนินธุรกิจที่มีมาร์จินต่ำ
WHA
- WHA ตั้งเป้ายอดขายที่ดินปีนี้ที่ 2,350 ไร่ ประกอบด้วยที่ดินในไทย (TH) 1,700 ไร่และที่ดินในเวียดนาม (VN) 650 ไร่ ขณะที่เราเล็งเห็น upside risk จากการขายที่ดินล็อตใหญ่ให้กับบริษัท Data centre ของสหรัฐใน 1Q25
- WHA เล็งเห็นความต้องการที่ดินจากบริษัท Data centre ของจีนที่จะเข้า มาขยายธุรกิจในไทย แต่อุปสงค์ของที่ดินและพลังงานรวมถึงปริมาณการใช้น้ำน่าจะน้อยกว่าบริษัท Data centre ของสหรัฐ
- ดังนั้น เราจึงคาดว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในปี 2025 จะเพิ่มขึ้นเป็น 2,394 ไร่ โดยมีปัจจัย หนุนจาก backlog 1,534 ไร่ในสิ้นปี 2024, ยอดขายที่ดินล็อตใหญ่ 500 ไร่และยอดขายที่ดินที่เพิ่มขึ้นในเวียดนาม น
- นอกจากนี้ WHA ให้แนวทางว่าราคาที่ดินในไทยและเวียดนามจะเพิ่มขึ้น 10% และอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จากการขายที่ดินจะอยู่ที่ 55% ในปี 2025 (vs. 60% ใน 2024)
- WHA ตั้งเป้าโครงการใหม่ 200k ตรม. แต่จะลดการขายที่ดินให้กับ REIT เหลือ 70k ตรม. ในปี 2025
- เรายังแนะนำ “ซื้อ” WHA ที่ราคาเป้าหมาย 6.65 บาท
SCGP
- SCGP มีผลประกอบการอ่อนตัวกว่าคาด โดยรายงานขาดทุนสุทธิ 56 ล้านบาทใน 4Q24 เนื่องจากธุรกิจเยื่อและกระดาษ/ธุรกิจรีไซเคิลมีขาดทุนสุทธิและ Fajar มีส่วนแบ่งขาดทุนสูงขึ้น
- ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรมี EBITDA ลดลง 2.6% qoq เป็น 2,820 ล้านบาทใน 4Q24 เพราะ Fajar มีผลการดำเนินงานอ่อนตัว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ฉุดให้ EBITDA margin ลดลงเล็กน้อยจาก 11.7% ใน 3Q24 เป็น 11.6% ใน 4Q24 เช่นกัน โดยปริมาณขายบรรจุภัณฑ์ในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1.0mt (+3.4% qoq) จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย (Fajar มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น 18% qoq เป็น 341kt และ มีส่วนแบ่งตลาดทรงตัวที่ 29%) อย่างไรก็ตาม ราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ปรับตัวลง 5.9% qoq ซึ่ง สะท้อนว่าราคาที่แท้จริงในอินโดนีเซียอ่อนตัวลงท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง
- ธุรกิจเยื่อและกระดาษมี EBITDA ลดลง 37.6% qoq เป็น 502 ล้านบาทใน 4Q24 เนื่องจากปริมาณการขายเยื่อกระดาษละลายได้ลดลงในไตรมาสจากการปิดซ่อมบำรุงหม้อไอน้ำ (boiler) เป็นเวลา 25 วัน (ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 20 ล้านบาทและปริมาณการผลิตเยื่อกระดาษหายไป 20%) ขณะที่ EBITDA margin ของ ธุรกิจนี้ลดลงจาก 11.2% ใน 3Q24 เหลือ 8.6% ใน 4Q24 เพราะราคาของเยื่อกระดาษและเยื่อกระดาษละลายได้อ่อนตัว
- ส่วนธุรกิจรีไซเคิลในเนเธอร์แลนด์มีขาดทุนสุทธิสูงขึ้นจาก 165 ล้านบาทใน 3Q24 เป็น 340 ล้าน บาทใน 4Q24 หลังประสบปัญหาในการรวบรวมเศษกระดาษ
- เราคาดว่าปริมาณขายเยื่อกระดาษละลายน้ำจะฟื้นตัว qoq ใน 1Q25 แต่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์น่าจะยังเผชิญกับความท้าทาย และ เรายังคงแนะน า “ขาย” SCGP ด้วย ราคาเป้าหมาย 14.50 บาท เพราะอุปสงค์การนำเข้าบรรจุภัณฑ์ของจีนน่าจะยังอ่อนตัว โดยเฉพาะหากสงครามการค้ากับสหรัฐปะทุขึ้นอีก