KS Daily View 20.02.2025>>> S&P 500 ทำ All Time High ต่อเนื่อง มองข้าม Tariffs ชุดใหม่และรายงานการประชุมเฟดที่ไม่ได้มีประเด็นกดดันใหม่ ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวต่อ หนุนโดนหุ้นปันผลสูงและแผนการตั้งกองทุนใหม่รองรับเงินจาก LTF มองกรอบ 1,250-1,280 แนะนำ KKP, TKN
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.24% ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์, Dow Jones เพิ่มขึ้น 0.16% และ Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.07% แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะขู่เรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% สำหรับการนำเข้ารถยนต์ ชิปเซมิคอนดักเตอร์ และยาในเร็วๆ นี้ โดยระบุว่าอาจเริ่มบังคับใช้ภายในวันที่ 2 เมษายน แต่ตลาดยังมองว่านี่เป็นกลยุทธ์การต่อรองและมีแนวโน้มที่จะถูกชะลอหรือปรับลดก่อนบังคับใช้จริง รวมถึงรายงานการประชุมเฟดเดือนมกราคม ไม่ได้มีประเด็นกดดันใหม่ โดยคณะกรรมการขอรอดูความคืบหน้าด้านเงินเฟ้อและผลกระทบจากนโยบายภาษีการค้าก่อนพิจารณาลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม
ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,262.27 จุด ปรับตัวขึ้นราว 5 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 52,600 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อสุทธิของทั้งนักลงทุนสถาบัน 1,531 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติ 1,056 ล้านบาท ปัจจัยบวกมาจากมาตรการจากภาครัฐ เช่น การที่แบงค์ชาติเตรียมผ่อนเกณฑ์ LTV สำหรับสัญญากู้บ้านหลังที่ 2 – 3 และการเตรียมเปิดตัวกองทุน Thai ESG ใหม่ที่จะรองรับเงินลงทุนจาก LTF ที่ยังไม่ได้ขายออก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและผลประกอบการที่ดีของหุ้นในกลุ่มธนาคารและค้าปลีก เราประเมิน SET มีพัฒนาการที่ดีขึ้นจากปัจจัยภายใน และหากปัจจัยภายนอกไม่ได้กดดันมากนัก มองว่าแนว 1,250 น่าจะค่อนข้างแข็งแรง
วันนี้ยังมองกรอบ 1,250 – 1,280 ตามเดิม หุ้นแนะนำเป็น KKP, TKN
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
- รายงานการประชุม Fed เดือนมกราคมไม่มีประเด็นใหม่ โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่พร้อมที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.5% ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ยังคงสูงและความไม่แน่นอนทางนโยบายเศรษฐกิจ โดยต้องการเห็นความคืบหน้าในการควบคุมเงินเฟ้อก่อนที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปี 2025 นอกจากนี้ คณะกรรมการยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากนโยบายการค้าและการตรวจคนเข้าเมืองของทรัมป์ที่อาจส่งผลต่อเงินเฟ้อ ตลาดแรงงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- กระทรวงการคลังเตรียมเปิดกองทุน Thai ESG ใหม่ภายในเดือนมีนาคม 2568 เพื่อรองรับเม็ดเงินจากกองทุน LTF ที่ครบกำหนดแต่ยังไม่ได้ขายออกอีก 1.8 แสนล้านบาท โดยมีเป้าหมายช่วยยืดระยะเวลาการขายในช่วงตลาดขาลง เนื่องจากผู้ถือหน่วยลงทุนส่วนหนึ่งชะลอการขายจากที่ยังขาดทุนอยู่ ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์อาจแตกต่างจากกองทุน Thai ESG ปัจจุบัน แต่ยังคงเน้นการลงทุนในประเทศและส่งเสริมการออมระยะยาว 5 ปี
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประกาศทบทวนมาตรการสำคัญหลายประการ โดยจะเริ่มใช้ในไตรมาส 2/2568 ประกอบด้วย 1) ปรับมาตรการชอร์ตเซลให้ใช้ Uptick เฉพาะหุ้นที่ราคาลดลงถึงเกณฑ์ที่กำหนด และจำกัดการทำชอร์ตเซลเฉพาะหุ้นใน SET100 2) ชะลอการใช้ Dynamic Price Band เฟส 2 3) จำกัดการซื้อขายแบบ HFT เฉพาะหุ้น SET100 และ 4) ยกเลิกมาตรการ Minimum Resting Time 250 milliseconds โดยหวังว่าการปรับมาตรการจะช่วยฟื้นสภาพคล่องตลาดที่ลดลงจาก 4.4 หมื่นล้านบาทต่อวันในเดือนมิถุนายน 2567 เหลือ 3.2 หมื่นล้านบาทหลังใช้มาตรการเดิม
- กระทรวงคมนาคมมอบหมายให้ สนข. ศึกษาแผนย้ายสถานีขนส่งหมอชิต 2 เอกมัย และสายใต้ไปรวมที่สถานีกลางบางซื่อ โดยใช้โมเดลจากญี่ปุ่นเช่นสถานีฮากาตะ เพื่อพัฒนาเป็นอาคารสูงที่แบ่งชั้นตามเส้นทางภูมิภาค พร้อมพื้นที่พาณิชย์และสิ่งอำนวยความสะดวก โดยจะใช้เวลาศึกษาเบื้องต้น 3-4 เดือน และศึกษาความเป็นไปได้อีก 12 เดือน เป้าหมายเพื่อเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะทั้งรถไฟและรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่จะมีค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายภายในกันยายน 2568
- อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ไทยเสนอที่จะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ มูลค่าราว 2.8 พันล้านดอลลาร์ต่อปี เพื่อลดดุลการค้าที่เกินดุล 35 พันล้านดอลลาร์ และป้องกันความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้า โดยสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์กำลังเจรจากับรัฐบาลให้ผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อให้การนำเข้ากากถั่วเหลืองและข้าวโพดจากสหรัฐฯ มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ทั้งนี้ ไทยคาดการณ์ว่าความต้องการอาหารสัตว์จะเพิ่มขึ้นเป็น 21.8 ล้านตันในปีนี้ จาก 21.1 ล้านตันในปี 2567
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
- KKP: ราคาพื้นฐาน 57.50 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ KKP เนื่องจากคาดว่าผลขาดทุนจากรถยึดจะดีขึ้นในปี 2568 จากราคารถมือสองที่เริ่มฟื้นตัวในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 2567 หลังจากที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 นอกจากนี้ เราคาดว่าต้นทุนด้านเครดิตมีแนวโน้มลดลงอยู่ที่ 2.2-2.4% ในปีนี้ และคุณภาพสินทรัพย์น่าจะปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากสินเชื่อกลุ่ม Stage 2 ในไตรมาส 4 ปี 2567 มีการปรับตัวลดลง อีกทั้ง KKP มีโอกาสบริหารจัดการเงินทุนเพิ่มเติมได้ หลังจากที่ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ให้ทรงตัวเท่ากับปีที่ผ่านมา และเราคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากปี 2567 โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจ Capital Market และ Agency Business
- TKN: ราคาพื้นฐาน 12.10 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ TKN จากการคาดการณ์การฟื้นตัวของผลประกอบการตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2568 เนื่องจากต้นทุนสาหร่ายซึ่งคิดเป็นประมาณ 20-25% ของยอดขายมีแนวโน้มลดลง หลังจากที่ในปี 2567 ราคาวัตถุดิบสาหร่ายปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 50% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงประมาณ 5-6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 คาดว่าปริมาณการผลิตสาหร่ายจากเกาหลีใต้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งจะช่วยให้ราคาสาหร่ายปรับลดลงตามกลไกตลาด สอดคล้องกับข้อมูลที่ผู้บริหารของ TKN ได้เข้าเยี่ยมซัพพลายเออร์สาหร่ายในเกาหลีใต้ และระบุว่าบริษัทได้ทำสัญญาล่วงหน้าเพื่อจัดหาสาหร่ายสำหรับปี 2568 ประมาณ 15-20% ของความต้องการทั้งหมดในราคาที่ต่ำกว่าปี 2567 นอกจากการบริหารต้นทุนแล้ว TKN ยังอยู่ระหว่างการขยายช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ในตลาดสหรัฐฯ โดยจะเจาะตลาด Mainstream ผ่านห้างค้าปลีกรายใหญ่
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันพฤหัสฯ ติดตามธนาคารกลางจีน PBOC คาดคงอัตราดอกเบี้ย LPR 1 ปีที่ 3.1% และ 5 ปีที่ 3.6% ต่อด้วยตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานคาดไว้ที่ 220K เทียบกับครั้งก่อนหน้าที่ 213K
- วันศุกร์ ติดตามเงินเฟ้อของญี่ปุ่นคาดไว้ที่ 3.7% YoY, 0.2% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 3.6%, 0.6% และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตเบื้องต้นเดือน ก.พ. ของญี่ปุ่นคาดไว้ที่ 49.6 ส่วนภาคบริการคาดไว้ที่ 52.2 ต่อด้วยทางยุโรปภาคการผลิตคาดไว้ที่ 46 และภาคบริการคาดไว้ที่ 50.5 และทางสหรัฐฯ ภาคการผลิตคาดไว้ที่ 51.3 และภาคบริการคาดไว้ที่ 52.7