PSP กางแผนธุรกิจปี 68 ปักหมุดตลาดโลก เล็งขยายตลาดยุโรป ตะวันออกกลางและเอเชียอาคเนย์ เตรียมพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยไบโอเบส มุ่งสู่การเติบโตมั่นคงและยั่งยืน 

บมจ. พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ (PSP) เปิดแผนธุรกิจปี 2568 สู่การเติบโตระดับนานาชาติ ตั้งเป้ายอดขายรวมโต 10-15% ปีนี้ และเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 30% ของรายได้รวมภายในปี 2571 มุ่งขยายตลาดในยุโรป ตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เฉพาะตลาดอาเซียนมีปริมาณความต้องการสูงกว่า 3,300 ล้านลิตร และคาดเติบโตต่อเนื่อง 1.9% เพิ่มกำไรด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เมกะเทรนด์ เช่น ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นและน้ำยาหล่อเย็นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ Bio-based ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยการเข้าซื้อกิจการ ร่วมทุน และสร้างธุรกิจใหม่ที่ต่อยอดความเชี่ยวชาญของ PSP รวมทั้งสร้างรายได้จากบริษัทในเครือ พร้อมเดินหน้ายกระดับการบริหารจัดการองค์กรและกระบวนการผลิตด้วยดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน และการดำเนินธุรกิจที่มีแนวทางการพัฒนาความยั่งยืนต่อเนื่อง เตรียมเข้าสู่การเป็นหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ในอนาคต

นายเสกสรร ครองพาณิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PSP เปิดเผยว่า เป้าหมายธุรกิจของ PSP ในปี 2568 คือสร้างยอดขายรวมเติบโต 10-15% จากลูกค้าปัจจุบัน และเพิ่มยอดขายจากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในประเทศ ตลอดจนการเจาะตลาดใหม่ในต่างประเทศ เช่น ตลาดในเมียนมาร์ ถือเป็นหนึ่งกลยุทธ์สำคัญของ PSP ที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนยอดขายต่างประเทศ จากการส่งออก 19.2%ในปี 2567 เป็น 30% ภายในปี 2571 เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยการบริหารสัดส่วนยอดขายจากหลากหลายตลาด โดยเฉพาะตลาดในยุโรป ตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น

“เรามองเห็นโอกาสที่เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางธุรกิจของ PSP ด้วยการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการส่งออก โดยข้อมูลจาก Kline Research ได้ศึกษาเกี่ยวกับตลาดน้ำมันหล่อลื่นในช่วงปี 2567-2571 ระบุว่าตลาดอาเซียนมีปริมาณการใช้สูงถึงกว่า 3,300 ล้านลิตร และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 1.9% ต่อปี ขณะที่ประเทศไทยมีความต้องการใช้น้ำมันหล่อลื่นประมาณ 700 ล้านลิตร เป็นอันดับ 2 รองจากอินโดนีเซีย ทำให้หลายแบรนด์จากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย และเริ่มมองหาฐานการผลิตในประเทศเพื่อลดต้นทุนค่าขนส่ง และ PSP เองก็มีจุดแข็งด้านคุณภาพ มาตรฐาน และประสิทธิภาพการผลิต พร้อมลงทุนนำเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยมาใช้ โดยมีความน่าเชื่อถือในฐานะผู้ผลิตหล่อลื่นชั้นนำที่มีมาตรฐานคุณภาพระดับสากลที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าระดับโลก มีศักยภาพในการขยายฐานลูกค้าเพื่อขายในประเทศ ส่งออกและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ อีกทั้งยังมีความพร้อมรองรับความต้องการผลิตภัณฑ์หล่อลื่นที่เพิ่มขึ้น คาดว่าตลาดในประเทศและการส่งออกจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในอนาคต” นายเสกสรรกล่าว

นอกจากนี้ PSP ยังวางแผนเพิ่มผลกำไรจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์และมองหาตลาดใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์ Food Grade Lubricants หรือผลิตภัณฑ์หล่อลื่นสำหรับการใช้งานกับเครื่องจักรและอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร น้ำยาหล่อเย็นสำหรับรถ EV (EV Coolant) น้ำยาบำบัดไอเสียในเครื่องยนต์ดีเซล (AdBlue) รวมถึงการร่วมพัฒนาน้ำมันหล่อลื่นชีวภาพ (Bio-based Lubricants) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกับพันธมิตรต่าง ๆ เป็นต้น ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมุ่งพัฒนาธุรกิจใหม่ที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อกิจการ หรือการร่วมทุน เช่น การเข้าร่วมทุนกับ บริษัท รีไซเคิล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำด้านการรีไซเคิลสารเคมีและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือการสร้างธุรกิจใหม่ที่ต่อยอดความเชี่ยวชาญของ PSP อย่างการเปิดบริการ ‘พีเอสพี แล็บฯ’ (PSP Laboratory Service) ที่ให้บริการวิจัย พัฒนา และตรวจสอบควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์หล่อลื่นมาตรฐานระดับสากล และบริการอื่น ๆ ในอนาคต

ในด้านการบริหารและแนวทางการดำเนินงานในปี 2568 นี้ PSP ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งสร้างความคล่องตัวในการดำเนินงานทั้งภายในและภายนอกองค์กร นอกจากนี้ PSP ให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรให้ยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมายสู่การเป็นหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating A หรือ AA ภายในปี 2568 ภายใต้แนวทาง ESG เพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มการเติบโตในอนาคตที่มุ่งเน้นเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ดึงดูดนักลงทุน เสริมสร้างความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยั่งยืนในอนาคต

- Advertisement -