บล.กรุงศรี : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/03/68
“Big Cap Play”
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ต้าน 1200/1212จุด รับ 1185/1182 จุด ประเด็นสำคัญวันนี้
1.) ตลาด Risk-on คุณ Trump ส่งสัญญาณการใช้ภาษีเท่าเทียม แบบ Selective เน้นผสานสินค้า รถยนต์ ยา ไม้และ Semiconductors หากจำกัดในกรอบดังกล่าวจะช่วยให้ความเสี่ยงต่อไทยจำกัดขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่เป็นความเสี่ยงหลัก
2.) Flash PMI บริการ มี.ค. 25 สหรัฐฯ ฟื้นมาที่ 54.3 จุด ดีกว่าคาด แต่มีประเด็นต้องระวัง เพราะแรงขับเคลื่อนมาจากองค์ประกอบราคา คาดวันนี้ตลาดรอติดตามความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพื่อประเมินเพิ่ม
3.) ราคาน้ำมันมีโมเมนตัมบวกต่อ หลังคุณ Trump ประกาศใช้เงื่อนไขภาษีนำเข้าเพิ่ม 25% กับประเทศที่ซื้อน้ำมันจากเวเนซุเอลา
4.) ภายในตลาดติดตามการอภิปรายไม่วางไว้ใจรัฐบาลต่อ โดยการลงคะแนนเสียงไว้ไม่วางใจจะเกิดขึ้น เย็น 26 มี.ค. หรือ เช้า 27 มี.ค. Base Case เราคาดรัฐบาลยังขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ต่อ ประเด็นกดดันตลาดทั้งนอกและในเป็นกลาง-บวก ขณะที่อยู่ในช่วงปลายแล้ว คาดตลาดฟื้นได้ต่อเนื่อง หุ้นนำ คือ 10 หุ้น Deep Value หุ้นธนาคาร (จิตวิทยาบวกYield สหรัฐฯเร่งขึ้น+นโยบายรัฐฯซื้อหนี้เปิด Upside) ผสานเก็งกำไร หุ้น Global Plays (พลังงานต้นน้ำ, ส่งออกกลุ่มเกษตร – อาหาร) วันนี้แนะนำ KBANK, KTB, PTTEP
Daily outlook: “Sideways/Up” ต้าน 1200/1212 จุด รับ 1185/1182 จุด
What happened around the world?
(*/+) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้น จากมุมมองการขึ้นภาษีนำเข้า Reciprocal tariff ที่มีสัญญาณเชิงบวก แม้คุณ Trump ที่ล่าสุดจะประกาศมุ่งเก็บภาษีสินค้า รถยนต์ ยา ไม้และ Semiconductors อิง Dow jones +1.42%d-d, ดัชนี Nasdaq +2.27%d-d, S&P500 +1.76% โดยดัชนี S&P 500 Sector ปรับขึ้นเกือบทุก Sector ยกเว้น Utilities ที่ปรับลง กลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆ คือ Consumer discretionary, ICT, Industrials, Financials ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น กลุ่ม Semiconductor ปรับขึ้นในทางเดียวกัน AMD 7%, Nvidia +3.15%, Alphabet +2.2% ส่วน Tesla +11.93% แรงหนุนจากความหวังที่ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะใช้ความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการค้า หุ้นกลุ่ม Cryptocurrency อาทิ MicroStrategy +10% Coinbase +7% แรงหนุนจากราคาเหรียญ Bitcoin ปรับขึ้นแรง +3.24% ปิดที่ 87,879 $ ฯลฯ
(*) Japan : คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่า BOJ แถลงต่อรัฐสภา หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มเข้าใกล้เป้าหมายที่ 2% ทางธนาคารจะดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ) โดยตลาดคาด BOJ อาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม รอบ ก.ค. และ รอบ ก.ย. คาดอัตราดอกเบี้ยสิ้นปีอยู่ที่ 1.0% โดย KSS คงมุมมองต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็น Neutral มองยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่หนุนตลาดหุ้น
(*/+) EU PMI : PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นยูโรโซน โดย S&P Global ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 50.4 จุด (> 50 จุดสะท้อนขยายตัว) จาก 50.2 ในเดือน ก.พ. PMI ภาคการผลิตขั้นต้นของยูโรโซนในเดือนมี.ค. พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีที่ 48.7 โดยรวม KSS มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจในยุโรป อาทิ XO SHR MINT IVL
(*/+) DR : KSS ประเมินในช่วงนี้มี 3 DR ที่น่าสนใจ คาดจะมีกระแสเก็งกำไร
1. BYDCOM80 เนื่องจาก BYD บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า(EV) รายใหญ่ของจีน พึ่งรายงานงบบริษัทมีกำไรสุทธิปี 2024 โต 34%y-y ที่ 4.025 หมื่นล้านหยวน และรายได้ 29.02%y-y ที่ 7.771 แสนล้านหยวน แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของรถยนต์ EV ทั้งในตลาดจีนและต่างประเทศ อิงจากยอดขายรถยนต์ 4.27 ล้านคัน +41%y-y โดยยอดขายรถยนต์ในต่างประเทศ +72%y-y ส่วนปี 2025 อิง Bloomberg คาดกำไรปี 2025 โต 31%y-y แรงหนุนอีกส่วนคือ 18 มี.ค. บริษัทประกาศเทคโนโลยีใหม่สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (E) ได้รวดเร็วเกือบเท่าเวลาที่ใช้ในการเติมน้ำมันรถ และ Valuation ถูกอิง PER ต่ำ 21 เท่า โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ DR คือ
2.) SONY80 วันพรุ่งนี้ 26 มี.ค.งาน Pinewood Studios ที่ LONDON บริษัท SONY จะเปิดตัวสินค้าใหม่คือ กล้องสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ระดับมืออาชีพ 3.) NINTENDO19 วันที่ 2 เม.ย.งาน Nintendo Direct บริษัท NINTENDO จะเปิดตัวเครื่องเล่นเกมส์ รุ่นใหม่ Nintendo Switch 2 อย่างเป็นทางการ
(*) To Monitor : ฝั่งสหรัฐ ติดตามการประชุมสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 24 – 25 มี.ค. โดยการประชุมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวณการนโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ติดตามหัวข้อที่อาจได้รับการพิจารณาในการประชุม 25 มี.ค. ติดตามความเชื่อมั่นผู้บริโภค Conf. Board มี.ค. คาด 94.0 จุด vs prev. 98.3 จุด, 27 มี.ค. รายงาน GDP 4Q24 คาด +2.5%q-q vs prev. +2.3%q-q, 29 มี.ค. รายงานเงินเฟ้อ PCE พื้นฐาน ก.พ. คาด +2.7%y-y, +0.3%m-m
(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields ปรับขึ้น อายุ 2 ปี +5 bps อยู่ที่ 4.04% เช่นเดียวกับอายุ 10 ปี ปรับ +8 bps อยู่ที่ 4.33% มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร เน้น BBL, KBANK, SCB กลุ่มประกันชีวิต BLA, TLI ส่วน Dollar Index แกว่งตัวแข็งค่ามาที่ 103.9 จุด (มองเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินในสกุลเอเซียอ่อนค่าวันนี้)
(+)Oil : ราคาน้ำมันดิบ น้ำมันดิบ Brent 1.16%d-d ปิดที่ US$ 73/barrel, น้ำมันดิบ West Texas 1.22%d-d ปิดที่ US$ 69.11/barrelแรงหนุนจากฝั่ง Supply อิง ประธานาธิบดีทรัมป์ เผยประเทศที่ซื้อน้ำมันและก๊าซจากเวเนซุเอลา จะถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% จากสินค้าทุกรายการที่มีการนำเข้าสู่สหรัฐ แต่ระยะกลาง-ยาว คาดราคาน้ำมันยังมีทิศทางปรับลง จากสงครามผ่อนคลาย และ OPEC+ จะเพิ่มกำลังกมารผลิตน้ำมันในช่วงเดือน เม.ย.25 แต่ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT
(++)Refinary: ค่าการกลั่น ณ โรงกลั่นสิงคโปร์พุ่งแรงแตะระดับ 6.63$/bbl (+113%d-d) เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าที่ 3.12$/bbl คาดเป็นผลต่อเนื่องจากข่าวโจมตีโรงกลั่นน้ำมันในรัสเซียเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมารวมถึงข่าวสหรัฐการคว่ำบาตรโรงกลั่นหนึ่งแห่งในจีนเนื่องจากมีการซื้อขายน้ำมันกับอิหร่าน ค่าการกลั่นที่ดีดแรงเรามองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น SPRC, TOP และ BCP
What happened in Thailand?
(*/+) SET: SET Index เพิ่มขึ้น 3.45 จุด (+0.29%) ปิดที่ระดับ 1,190 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 2.3 หมื่นล้านบาท (จำนวนหุ้นปรับขึ้น 218 บริษัท, หุ้นปรับลง 216 บริษัท) ตลาดไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ และมีจิตวิทยาลบจากการร่วงลงของหุ้นในตลาดหุ้นอินโดฯ และ ฟิลิปปินส์ (TIP Market) นอกจากนี้นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขายเพื่อรอดูผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ในวันนี้และพรุ่งนี้ โดยมี Sector ที่ปรับขึ้น คือ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE)
คาดตลาดเก็งกำไรก่อนเข้าสู่ช่วง Preview กำไร 1Q25F และงานสัมมนา AI Revolution 27 มี.ค. , พลังงาน (PTT, PTTEP) จากโมเมนตัมราคาน้ำมันต่อ PTTEP และกระแสซื้อหุ้นคืนที่กลุ่มพลังงานมีศักยภาพมากสุด และ กลุ่มขนส่ง (AOT) ประเมินตลาดเริ่มสะสมในฐานะหุ้น Deep Value หลังสะท้อนข่าวร้ายไปมาก ขณะที่ภาพพื้นฐานหลักระยะกลางไม้ปลี่ยน ส่วน Sector ที่ปรับลง คือ กลุ่มอิเล็กฯ (DELTA, KCE) ประเมินตลาดกังวลความเสี่ยงโค้งสุดท้ายก่อนคุณ Trump ประกาศนโยบายภาษีเท่าเทียม และ กลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB) ประเมินเป็นการขายทำกำไร หลัง Outperform ต่อเนื่อง
(*/+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลเข้า ซื้อหุ้น +13.9 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +26.9 ล้านเหรียญฯ Net Short TFEX ที่ -7,354 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าเล็กๆสู่ 34.0 +/- บาท
(*/+) Landbridge: สนข. ประกาศรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัติระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. …. ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 21 มี.ค. 25 ถึงวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 25 รวม 31 วัน เพื่อให้การนำเสนอ ร่างพ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. …. มีข้อมูลประกอบการพิจารณาซึ่งครอบคลุมความคิดเห็น ของผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ก่อนคาดนำเสนอ ครม. ช่วง พ.ค. 25 ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่อานิสงส์บวกจากการเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ธนาคาร อาทิ KBANK, KTB กลุ่มก่อสร้าง SCC กลุ่มรับเหมา STECON
(*/+) AI Adoption: เริ่มเห็นกระแส AI Adoption ในไทยต่อเนื่อง หลัง Salesforce ประเทศไทย กล่าวว่า เซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) ผู้นำอันดับหนึ่งของโลกด้านระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้นำเสนอ Agentforce ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพนักงานดิจิทัลที่ช่วยให้องค์กรสามารถนำพนักงาน AI อัจฉริยะที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถทำงานได้ด้วยตนเอง (Autonomous AI Agent) มาใช้ในกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเมินจิตวิทยาหุ้นในธีม Digital Tech Consult โดยเฉพาะ BE8 GABLE ที่เป็นตัวแทนจำหน่าย Salesforce นอกจากนี้ การเร่งปรับตัวอุตสาหกรรมต่างๆ น่าจะส่งผลดีต่อ BBIK เช่นกัน ส่วนกลุ่มที่น่าจะประโยชน์ถัดๆมา คือ กลุ่มสื่อสารที่เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ADVANC, TRUE
(*/+) Fuel Price: กบน. มีมติปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล ลง 1 บาท/ลิตร การปรับลดราคาดังกล่าวจะดำเนินการเป็น 2 ระยะ ครั้งละ 50 สตางค์/ลิตร ได้แก่ ครั้งที่ 1 วันที่ 28 มี.ค.25 และครั้งที่ 2 วันที่ 4 เม.ย.25 ประเมินบวกต่อหุ้น Domestic ที่กำลังซื้อดีขึ้น อาทิ ค้าปลีก เน้นกลุ่มสินค้าจำเป็น CPALL, CPAXT สถานีบริการน้ำมัน คาดปริมาณใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น OR, PTG
(*/-) TH Tourism: ยอดผู้ใช้บริการสนามบิน AOT (ชี้นำนักท่องเที่ยวต่างชาติ) 1-22 มี.ค. อยู่ในระดับ 85.7% ของ Pre-COVID ขณะที่ลดลง -0.2%y-y ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นท่องเที่ยว หุ้นอิงภาคบริการ แต่เชิงกลยุทธ์ แนะนำตั้งรับหุ้นในกลุ่มที่ Deep Value อาทิ AOT CPALL MINT ก่อน
(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ ติดตาม
24-25 มี.ค. ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล คาดลงมติไม่ไว้วางใจช่วงเย็นวันที่ 26 มี.ค. หรือเช้า 27 มี.ค.
27 มี.ค. ติดตามงานสัมมนา AI Revolution “a New Paradigm of New World Economy” บจ.หลักๆ ที่ร่วมงาน ได้แก่ ADVANC, BBIK, KBANK, WHA
Daily Strategy : KBANK, KTB, PTTEP
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ “Sideways/Up” ปัจจัยหนุนต่างประเทศอยู่ที่ท่าทีการใช้นโยบายภาษีเท่าเทียมของคุณ Trump ที่เน้น Selective โดยกลุ่มสินค้าหลักที่เน้น อาจจะทำให้ผลกระทบต่อไทยจำกัดกว่าตลาดกังวล ผสาน ราคาน้ำมันยังมีโมเมนตัมทางบวกจากซัพพลาย และภายในที่ใกล้ถึงช่วงโหวตไม่วางไว้ใจ โดยรวมประเด็นกดดันตลาดทั้งนอกและในเป็นกลาง-บวก ขณะที่อยู่ในช่วงปลายแล้ว คาดเข้าสู่ตลาดเริ่มฟื้นได้ต่อเนื่อง หุ้นนำ คือ 10 หุ้น Deep Value หุ้นธนาคาร (จิตวิทยาบวกYield สหรัฐฯเร่งขึ้น+นโยบายรัฐฯซื้อหนี้เปิด Upside) ผสานเก็งกำไร หุ้น Global Plays (พลังงานต้นน้ำ, ส่งออกกลุ่มเกษตร – อาหาร)
1) หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
2) หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
3) หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
4) กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
5) กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
6) 10 หุ้น Deep Value ที่มีความมั่นคงระยะ 2-3ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)
• MAR25 Stock Picks: AMATA, AP, BA, BH, BTS, CPALL, MTC
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance
การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้
SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)
SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)
กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI
Strategy Update : ThaiESG Plays
กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด
เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว
KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI
Strategy Update : Summer Plays
กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม “หน้าร้อน” กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 – กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน
1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น
2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน
3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน
4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก
ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน
โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 – ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)
ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)
Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน “Value Zone” ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ “Value Market” ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง
1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 “สะท้อนว่าค่อนข้าง Value”
2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 “Deep Value” มาก
3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 “Deep Value” มาก
4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ
เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว
Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน “Theme 7 Value Stocks” ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Research Highlight
• Bank (Neutral): เราคาดธนาคารที่เราศึกษารายงานกำไรสุทธิ 1Q25F ที่ 5.33 หมื่นลบ. กำไรลดลง -3% y-y เพราะการลดลงของ yield on loan สินเชื่อรวม และเงินลงทุน (FVTPL) ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น +4% q-q จากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) สำหรับคุณภาพสินทรัพย์ NPL ratio คาดที่ 3.70% เพิ่มจาก 3.55% ใน 4Q24 จาก 4Q24 มีการแปลงหนี้เป็นทุนของการบินไทย และความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ลดลง สำหรับเงินปันผล 2H24 dividend yield ที่ 3-7% ขึ้น XD ช่วงปลายเดือนเมษายน-กลางพฤษภาคม 2025 โดยเราคงมองธีมการลงทุนกลุ่มธนาคารเป็น Value Play และคง KBANK และ KTB เป็น Top Pick
• KTB (Neutral): เราคงคำแนะนำ BUY ที่ TP25F ที่ 27 บ. และคงเป็น Top Pick ของกลุ่มธนาคารคู่กับ KBANK (BUY, TP 178 บ.) เพราะ i) กำไรสุทธิปี 2025F คาดเติบโต +9%y-y มากกว่ากลุ่มที่ +4% y-y ii) คาดได้ผลบวกจากงบประมาณภาครัฐใน 2Q25F iii) ปันผลต่อปีสูง dividend yield คาดที่ 7% โดย 2024 ประกาศจ่ายปันผลคิดเป็น dividend yield ที่ 7% ขึ้น XD วันที่ 16/04/25 สำหรับกำไรสุทธิ 1Q25F คาดที่ 1.12 หมื่นลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +1% y-y และ +7% q-q เพราะการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุน (FVTPL) การลดลงของค่าใช้จ่ายด้อยค่า NPA และการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) สำหรับสินเชื่อลดลง -1.6 % q-q คิดเป็น -1.6% YTD จากสินเชื่อภาครัฐ ด้าน NPL Ratio คาดที่ 3.10% เพิ่มขึ้นจาก 4Q24 ที่ 2.99% ส่วนหนึ่งมาจาก 4Q24 มีการแปลงหนี้เป็นทุนของการบินไทย
• AP (Buy, TP25F-10.4): มุมมอง neutral ต่อยอดขาย condo ใหม่; Life Sathorn-Narathiwas 22 มูลค่าโครงการ 1.8 พันลบ. ที่ทำยอดขายไปราว 27% หรือราว 500 ลบ. ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงเป้าที่บริษัทตั้งไว้ (ราว 30% ช่วงเปิดตัว) โดยส่วนที่ขายไปเป็นสัดส่วนลูกค้าคนไทยเกือบทั้งหมด ทั้งนี้ตัวเลข take-up rate ที่ไม่มากนักเพราะ speed การขายโครงการ condo กลุ่ม low rise โดยปกติจะช้ากว่ากลุ่ม high rise เพราะช่วงเวลาผ่อนดาวน์จะสั้น ทำให้อัตราผ่อนชำระต่อเดือนสูงกว่า สำหรับ YTD presale คาดที่ราว 10.0 พันลบ. และคาด 1Q25F presale >10.0 พันลบ. ซึ่งสูงกว่า 1Q24 presale ที่ราว 9.7 พันลบ. และ 4Q24 presale ที่ราว 9.2 พันลบ. ทำให้คาด story ในช่วง 1H25F ดีทั้งด้าน presale, transfer รวมถึงกำไรสุทธิ เราคง TP25F ที่ 10.40 บาท คง BUY ชอบจุดเด่นเรื่องความสม่ำเสมอกำไรรายไตรมาส, แผนธุรกิจที่ยัง aggressive กว่ากลุ่มฯ ทำให้คาดรักษา No.1 market share ได้ต่อเนื่อง ในขณะที่คาดเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้ประโยชน์จาก มาตรการผ่อนคลาย LTV ในช่วง 1 พ.ค. 2025 – 30 มิ.ย. 2026 มากกว่าบริษัทอื่น
• Energy & Petrochemical (Neutral): ฝั่งต้นน้ำ (น้ำมันดิบ) +1% w-w สงครามรัสเซีย-ยูเครนกลับมารุนแรง, OPEC+ บางส่วนตั้งเป้าลดการผลิตในช่วง มี.ค. 25 – มิ.ย. 26 ชดเชยการผลิตเกินโควต้าก่อนหน้า ซึ่งเพียงพอชดเชยแผนการเพิ่มการผลิตของกลุ่มในช่วงเดียวกันได้ รวมถึง U.S. คว่ำบาตรพลังงานอิหร่านเพิ่ม คงมุมมองราคาน้ำมันดิบ มี.ค. 25 ผันผวน เฉลี่ยลด m-m กังวลเศรษฐกิจโลกชะลอจากสงครามการค้า กลบปัจจัยบวก U.S. คว่ำบาตรน้ำมันอิหร่าน และเวเนซูเอล่า
ฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นสิงคโปร์ (SG GRM) -18% w-w supply น้ำมันจีน และตะวันออกกลางออกมาเพิ่มขึ้น ในขณะที่ demand อินเดีย และอินโดฯ ลด ฉุด spread Jet/ Gasoil -7-9% w-w คงมุมมองค่าการกลั่น มี.ค. 25 ฟื้น m-m (MTD +31% m-m) ฟื้นจากฐานต่ำ ได้ปัจจัยหนุน การลด run /ปิดซ่อม ของโรงกลั่นบางส่วนในภูมิภาค และ demand น้ำมันจีนฟื้น
ฝั่งปิโตรเคมี ส่วนใหญ่ spread ลด w-w ฉุดจากราคา feedstock ทั้งนี้เริ่มเห็นการ re-stock PET i) สายโอเลฟินส์ HDPE/PP spread -1-2% w-w ii) สายอะโรเมติกส์ PX +4% w-w demand downstream เริ่ม re-stock /BZ -6% w-w ส่วน iii) สายโพลีเอสเตอร์ (PET) integrated spread -5% w-w เริ่มเห็นการ re-stock แต่ยังไม่พอชดเชยราคา feedstock ที่เพิ่มขึ้นเร็ว คงมุมมองเดือน มี.ค. 25 โอเลฟินส์ ฟื้นต่อ m-m (MTD +8-14% m-m) ได้การ re-stock ของจีนหนุนต่อเนื่อง ส่วน PET กลับมาฟื้น m-m (MTD +12% m-m) ได้ความต้องการ re-stock รับ high season หนุน
ภาพสัปดาห์ โรงกลั่นมีแรงกดดันมากสุด ส่วน PET แม้ integrated spread ลดลง แต่เริ่มเห็นการ re-stock คาดแนวโน้มดังกล่าวจะเร่งขึ้นอีกในช่วง เม.ย. 25 ทั้งนี้เรายังชอบกลุ่มโรงกลั่นที่ไม่ได้เผชิญ oversupply จากกำลังการผลิตใหม่เท่ากลุ่มปิโตรเคมี และกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัว y-y รวมถึงราคาสะท้อนปัจจัยลบค่าการกลั่นผันผวน 1Q25TD ไปแล้ว คง top pick เป็น SPRC (TP8.0)
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Fundamental & Tactical Daily Top Picks :
KBANK (TP25F-178) S: 161/159 R: 164.5/166 (Stop Loss: <158)
Theme: Big Cap Play
Earnings outlook: เราคาด KBANK รายงานกำไรสุทธิ 1Q25F ที่ 1.20 หมื่นลบ. กำไรลดลง -11% y-y เพราะ i) รายได้ดอกเบี้ย (NII) ลดลง -8% y-y จาก NIM ลดลงเหลือ 3.44% จาก 1Q24 ที่ 3.76% จากการลดลงของ yield on loan ตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย ii) รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ลดลง -3% y-y จากเงินลงทุน (FVTPL) ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น +14% q-q เพราะ i) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ลดลง -7% q-q จากปัจจัยฤดูกาล ii) ค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลง -19% q-q จากช่วงปี 2024 เร่งจัดการคุณภาพสินทรัพย์ สำหรับสินเชื่อรวมลดลง -2.0% q-q คิดเป็น -2.0% YTD จากสินเชื่อภาคธุรกิจ ด้านคุณภาพสินทรัพย์บริหารอยู่ในระดับที่จัดการได้
Valuation: ซื้อขาย PBV25F ที่ราว 0.6-0.7 เท่า
Catalyst: : : 1.) ตลาดหุ้นโลกกลับมาอยู่ในภาวะ Risk-on หนุน US Bond Yield 10 ปีฟื้นตัวแรง +8 bps หนุนจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มธนาคาร 2.) จิตวิทยาบวก GULF ให้ความสนใจ 3.) ประเมินหุ้นกลุ่มธนาคารเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีศักยภาพซื้อคืนหุ้น
KTB (TP25F-27) S: 23.7/23.3 R: 24.6/25.25 (Stop Loss:<23.1)
Theme: Big Cap Play
Earnings outlook: เราคาด KTB รายงานกำไรสุทธิ 1Q25F ที่ 1.12 หมื่นลบ. กำไรเพิ่ม +1% y-y และ +7% q-q เพราะi) รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) เพิ่มขึ้น +13% q-q จากการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุน (FVTPL) ii) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ลดลง -6% y-y และ -4% q-q จากการลดลงของค่าใช้จ่ายด้อยค่า NPA และปัจจัยฤดูกาล iii) ค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลง -8% y-y จากความแข็งแกร่งของลูกหนี้สินเชื่อ สำหรับสินเชื่อรวมลดลง -1.6 % q-q คิดเป็น -1.6% YTD จากสินเชื่อภาครัฐ ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio อยู่ที่ 3.10% เพิ่มขึ้นจาก 4Q24 ที่ 2.99% ส่วนหนึ่งมาจาก 4Q24 มีการแปลงหนี้เป็นทุนของการบินไทย
Valuation: : ซื้อขาย PBV25F 0.69 เท่า
Catalyst: : 1.) ตลาดหุ้นโลกกลับมาอยู่ในภาวะ Risk-on หนุน US Bond Yield 10 ปีฟื้นตัวแรง +8 bps หนุนจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มธนาคาร 2.) คาด KTB รายงานกำไร 1Q25F เด่นหนุนหุ้นต่อ 3.) ประเมินหุ้นกลุ่มธนาคารเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีศักยภาพซื้อคืนหุ้น (Treasury Stock)
PTTEP (TP25F-140) S: 114/111.5 R: 119.5/121.0 (Stop Loss: <110.5)
Theme: Big Cap Play
Earnings outlook: คาดกำไรปกติ 1Q25F ราว 1.9 หมื่นลบ ทรงตัว y-y ฟื้น q-q การฟื้น q-q แม้ปริมาณขายคาดราว 475KBOED (flat y-y, -5% q-q) ลดลงจากมีปิดซ่อมแหล่งบงกช และไม่มีเร่งโหลดสินค้าของแหล่งในตะวันออกกลางเหมือน 4Q24 แต่ได้ ASP ที่เพิ่มขึ้นตามราคาขายก๊าซฯ (ปรับตามสัญญาฯ) และค่าใช้จ่ายที่ลดลงตามฤดูกาล
Valuation: : ซื้อขาย PBV25F ต่ำกว่า 1.0 เท่า
Catalyst: : 1.) ราคาน้ำมันยังมีโมเมนตัมบวกระยะสั้น หลังคุณ Trump ประกาศขึ้นภาษีนำเข้า 25% กับประเทศที่ไปซื้อน้ำมันจากเวเนซูเอลา 2.) ท่าทีคุณ Trump ผ่อนคลายในส่วนการเปิดทางเจรจาต่อรองภาษีเท่าเทียม บรรเทาความกังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจ 3.) เม็ดเงินที่หมุนออกจาก GULF ที่หยุดซื้อขายชั่วคราวมีโอกาสสลับมาพักที่หุ้นหลักอื่นในกลุ่มพลังงาน 4.) ประเมิน PTTEP เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีศักยภาพซื้อคืนหุ้น