บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 26/03/68
บีบคั้นหัวใจ
TOP PICK BDMS / MTC / PR9
EXTERNAL FACTOR
• นับตั้งแต่ต้นปี 2025 ตลาดหุ้นโลกค่อนข้างผันผวน โดยเฉพาะในกลุ่ม TIP นำโดยไทย -15.37%YTD, อินโดนีเซีย -11.93%YTD, ฟิลิปปินส์ -5.65%YTD
• ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วงนี้ ซึ่งอาจเข้ามากดดันให้เม็ดเงินชะลอการไหล เข้าสินทรัพย์เสี่ยงในกลุ่ม TIP มี 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่ 1) ความไม่แน่นอนของนโยบาย การค้าสหรัฐฯ 2) ค่าเงินรูเปียห์ของประเทศอินโดนีเซียอ่อนค่าหนักสุดในรอบ 27 ปี
INTERNAL FACTOR
• ใน 3 ปี ที่ผ่านมา SET INDEX ปรับตัวลงทุกปี รวมลบมา 484 จุด หรือ -29% เกิดจาก ต่างชาติมีอิธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการซื้อขายในตลาดฯ สูงถึง 53.8% ซึ่งสวนทางกับนักลงทุนรายย่อยที่มีอิทธิผลต่อตลาดหุ้นน้อยลง อีกทั้ง ต่างชาติยังขาหุ้นไทยทุกปีตลอด 3 ปี -3.8 แสนล้านบาท
• หากพิจารณาเป็นรายหุ้น จะเห็นได้ว่ามี 20 หุ้นขนาดใหญ่หลายบริษัทที่ถูกต่างชาติ ขายหนัก ทำให้ราคาหุ้นบางบริษัทปรับตัวลงมาเยอะ อาทิ DELTA, CPALL, AWC, PTTEP, AOT, CPN, BTS, TISCO, TIDLOR ฯลฯ
INVESTMENT STRATEGY
• แรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีมาต่อเนื่องตลอด 3 ปี (2023 –2025YTD) กดดันตลาดหุ้นไทย จนมี VALUATION ที่ถูกมาก โดยมี PBV 1.13 เท่า มี DIVIDEND YIELD 4.3% สูงสุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ขณะที่ SETHD มี DIVIDEND YIELD สูงถึง 6.6%
• แม้ตลาดหุ้นไทยยังถูกปัจจัย TRADE WAR และต่างชาติขายกดดันในช่วงนี้ทำให้ขยับขึ้นยาก ดังนั้นเพื่อหลบ ความผันผวนแนะนำทยอยสะสมหุ้น VALUATION ถูก ปันผลสูง SPALI, AP, SCC, PTTEP และหุ้น MEGA TREND ปันผลมีโอกาสค่อยๆ สูงขึ้น CPALL, BH, ITC, WHA
กลุ่ม TIP ยังมีความเสี่ยงเม็ดเงินชะลอไหลเข้า
นับตั้งแต่ต้นปี 2025 ตลาดหุ้นโลกค่อนข้างผันผวน โดยเฉพาะในกลุ่ม TIP นำโดยไทย -15.37%YTD, อินโดนีเซีย – 11.93%YTD, ฟิลิปปินส์ -5.65%YTD ซึ่งปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วงนี้ ซึ่งอาจเข้ามากดดันให้เม็ดเงิน ชะลอการไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงในกลุ่ม TIP มี 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่
1. ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ซึ่งด้านทำเนียบขาวจะปรับแนวทางการจัดเก็บภาษีศุลกากรที่ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย.นี้ ตามแนวทาง “DIRTY 15” โดยมีแนวโน้มที่อาจจะยังไม่จัดเก็บภาษีในแต่ ละภาคอุตสาหกรรม (ยานยนต์ ยา และเซมิคอนดักเตอร์) แต่คาดว่าจะใช้มาตรการภาษีต่างตอบแทนกับ กลุ่มประเทศคู่ค้าที่มีสัดส่วนการขาดดุลทางค้าจำนวนมากกับสหรัฐฯ
ส่วนบ้านเรา แม้จะไม่จัดอยู่ในกลุ่ม 15 ประเทศแรกที่มีอัตราภาษีสูงและปริมาณการค้าขนาดใหญ่กับสหรัฐฯ บวกกับกำหนดกฎระเบียบที่ทำให้สินค้าของสหรัฐฯ เข้าถึงได้ยาก แต่ก็อยู่ในเรด้าของ USTR เนื่องจากไทย มีได้ดุลการค้าสหรัฐฯ สูงเป็นอันดับที่ 10 (ข้อมูลปี 2024)
2. ค่าเงินรูเปียห์ของประเทศอินโดนีเซียอ่อนค่าหนักสุดในรอบ 27 ปีจากความกังวลเรื่อง “สถานะการคลังของ ประเทศ” หลังรัฐบาลใช้นโยบายประชานิยม ทำให้การขาดดุลงบประมาณเข้าใกล้ขีดจำกัดทางกฎหมายที่ 3%ของ GDP อีกทั้งยังขยายบทบาทของกองทัพในรัฐบาลพลเรือนอินโดนีเซียด้วย ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจ สร้างความผีนผวนต่อตลาดการเงินได้
อย่างไรก็ตาม หากพิจาณาในแง่มุมของภาคการค้าระหว่างประเทศ บ้านเราพึ่งพาการส่งออกสินค้าไปยัง อินโดนีเซียเป็นอันดับ 9 แต่มูสัดส่วนเพียง 3% ของทั้งหมด
3 ปี ที่ผ่านมา SET ถูกแรงขายต่างชาติกดดัน จนหลายบริษัทเริ่มซื้อหุ้นคืน คาดเป็นตัวพยุงได้
ใน 3 ปี ที่ผ่านมา SET INDEX ปรับตัวลงทุกปี รวมลบมา 484 จุด หรือ -29% (ปี 2023 -15.2%, 2024 -1.1%, 2025YTD -15.4%) เกิดจากต่างชาติมีอิธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการซื้อขายในตลาดฯสูง ถึง 53.8% ซึ่งสวนทางกับนักลงทุนรายย่อยที่มีอิทธิผลต่อตลาดหุ้นน้อยลงเรื่อยๆ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการซื้อขาย ในตลาดฯเพียง 29.1%
ซึ่งการที่ SET ปรับตัวลงแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากการถูกต่างชาติขายสุทธิอย่างหนักหน่วง โดย ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยหนักทุกปี รวม -3.77แสนล้านบาท สวนทางกับนักลงทุนไทยที่ค่อยๆ เข้าไปสะสม 2.65 แสน ล้านบาท ทำให้นักลงทุนในประเทศเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง
ประเด็นดังกล่าวทำให้ SET ผันผวนในช่วงที่ผ่านมา และกดดันให้เม็ดเงินส่วนหนึ่งของนักลงทุนไทยออกไปลงทุน ต่างประเทศมากขึ้น สังเกตได้จากยอด FCD ของไทยพุ่ง ATH แตะ 2.63 หมื่นล้านเหรียญฯ(ในยามที่ดอกเบี้ยประเทศ อื่นสูงกว่าไทย)
และหากพิจารณาเป็นรายหุ้น จะเห็นได้ว่ามี 20 หุ้นขนาดใหญ่หลายบริษัทที่ถูกต่างชาติขายหนัก ทำให้ราคาหุ้นบาง บริษัทปรับตัวลงมาเยอะ อาทิ DELTA, CPALL, AWC, PTTEP, AOT, CPN, BTS, TISCO, TIDLOR เป็นต้น อย่างไรก็ตามมีบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่หลายแห่ง เริ่มตัดสินใจขวักกระเป๋าตัวเองเข้ามาซื้อหุ้นคืน เพื่อช่วยพยุงให้ ราคาหุ้นหยุดลง อาทิ PTT วงเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท, HMPRO วงเงิน 8 พันล้านบาท ซึ่งในอนาคตน่าจะเห็นอีกหลาย บริษัทประกาศซื้อหุ้นคืนเช่นกัน เนื่องด้วย VALUATION บริษัทตนเองถูกเกินไป ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯจึงคาดว่าประเด็น ดังกล่าวน่าจะช่วยพยุงให้ SET พอผันผวนในกรอบแคบได้บ้าง โดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหวของ SET 1178 – 1192 จุด
หลบความผันผวนกับหุ้นปันผล หลัง SET มี DIVIDEND YIELD สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
แรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีมาต่อเนื่องตลอด 3 ปี (2023 –2025YTD) กว่า -3.8 แสนล้านบาท กดดันตลาดหุ้น ไทยปรับตัวลงมาเกือบ 500 จุด จนมี VALUATION ที่ถูกมาก โดยมี PBV 1.13 เท่า มี DIVIDEND YIELD 4.3% สูงสุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ขณะที่ SETHD มี DIVIDEND YIELD สูงถึง 6.6%
แม้ตลาดหุ้นไทยยังถูกปัจจัย TRADE WAR กดดัน ทำให้ขยับขึ้นยาก ดังนั้นเพื่อหลบความผันผวนแนะนำทยอยสะสม หุ้น VALUATION ถูก ปันผลสูง SPALI, AP, SCC, PTTEP และหุ้น MEGA TREND ปันผลมีโอกาสค่อยๆ สูงขึ้น CPALL, BH, ITC, WHA
========================