บล.ยูโอบีเคย์เฮียน : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 26/03/68
สินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัว ผลอภิปรายไม่ไว้วางใจวันนี้ไม่น่ากังวล
เคลื่อนไหวออกข้างจนกว่าจะมีปัจจัยหนุนใหม่ เรามองบวกต่อตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดจะเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideway 1,180-1,200 จุด Sentiment ต่อตลาดหุ้นดูดีขึ้นหลังความกังวลต่อมาตรการกำแพงภาษีของทรัมป์ลดลง สำหรับประเด็นการเมืองเราไม่กังวลต่อผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯในวันนี้ (26 มี.ค.) และให้ความสนใจต่อความคืบหน้าของนโยบายหลังการประชุมครม.ในวันพรุ่งนี้มากกว่า นักลงทุนมีมุมมองบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น คาดว่าจะเห็นแรงเก็งกำไรสั้นๆ กลับในหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
ความกังวลต่อสินทรัพย์เสี่ยงลดลง ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัว จากความกังวลต่อมาตรการกำแพงภาษีที่ลดลง ซึ่งเป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงตลาดหุ้นไทย แม้ตัวเลขเศรษฐกิจยังสะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอลง จากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference board) รายงานที่ 92.9 ต่ำกว่าที่ตลาดคาด สะท้อนว่าผู้บริโภคยังคงมีความกังวลต่อเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดให้น้ำหนักกับท่าทีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยืดหยุ่นต่อมาตรการกำแพงภาษีมากกว่า ในภาพรวมนักลงทุนยังคงจับตาต่อวัน Liberation day (2 เม.ย.) ที่มาตรการกำแพงภาษีจะมีผลบังคับใช้
มองผลอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะลงมติในวันนี้ (26 มี.ค.) เรามองว่าความเป็นไปได้น้อยมากที่นายกฯจะหลุดจากตำแหน่งในผลอภิปรายรอบนี้ เนื่องจากฝ่ายค้านมีเสียงไม่มากพอ (รัฐบาล 317 เสียง : ฝ่ายค้าน 170 เสียง) เราให้น้ำหนักมากกว่าต่อความคืบหน้าของนโยบายภาครัฐฯหลังการประชุมครม. (27 มี.ค.) คาดว่าจะช่วยหนุนดัชนีให้ภาพรวมของตลาดหุ้นในช่วงท้ายสัปดาห์
ภาพรวมกลยุทธ์ ลงทุนในหุ้นรายตัว มูลค่าไม่แพง และปันผลสูง เรายังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นรายตัวที่ Valuation ไม่แพง และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง และหลีกเลี่ยงกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจจีนในช่วงสั้นเนื่องจากกระแสเงินได้เปลี่ยนไปในหุ้นกลุ่มอื่นๆ เราชอบกลุ่มค้าปลีก พลังงานต้นน้ำ และ สื่อสาร สำหรับกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์มองเป็นการเก็งกำไรในระยะสั้นจาก Fund flow ที่เข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง
แนวรับ: 1,180 แนวต้าน : 1,200 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• PTTEP (125.0) : เก็งกำไรจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวบวก มีโอกาสที่ earnings consensus มีโอกาสปรับเพิ่ม เราคาดว่า consensus จะใช้สมมติฐาน ASP ต่ำเกินไป ตัดขาดทุน 113.0 บาท
• TRUE (13.0) : คาดกำไรจะการเติบโดดเด่นในปี 2025 จาก ARPU ที่ดีขึ้นในธุรกิจมือถือ และ FBB และคาด credit rating จะดีขึ้นหนุนให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง ตัดขาดทุน 11.30 บาท
• HMPRO (8.4) : ได้ปัจจัยหนุนเชิงบวกจากการซื้อหุ้นคืนที่ 6% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ EPS เพิ่มขึ้น 6.5% พร้อมการเติบโตของ SSS ในเชิงบวกที่ + low single ตั้งแต่ช่วงต้นปี ตัดขาดทุน 7.6 บาท
• MEB (23.5) : คาดกำไรปกติจะจะเติบโต 16% yoy ซื้อ/ขาย Forward P/E ปี 25 ที่ 13x ไม่แพงเมื่อเทียบกับ ROE ระดับ 30% ตัดขาดทุน 21.9 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
– ผู้ค้าน้ำมันจากจีนระงับซื้อน้ำมันเวเนฯแล้ว หลัง “ทรัมป์” ขู่รีดภาษี 25%
– Conference Board เผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำกว่าคาดในเดือนมี.ค.
– สหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 1.8% สู่ 676,000 ยูนิตในเดือนก.พ.
– บอร์ด ก.ล.ต.เห็นชอบปรับเกณฑ์ให้โทเคนดิจิทัล Carbon Credit, REC ,Carbon Allowance นำมาซื้อขายได้
– บทวิเคราะห์ : LH (ถือ) เป้าหมาย 5.20 บาท, MEB (ซื้อ) เป้าหมาย 42 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
26 มี.ค. – ผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ, UK CPI
27 มี.ค. – ประชุม ครม., US GDP final, Jobless Claims, PCE Price
28 มี.ค. – TH Industrial Production, Private Consumption, Retail Sales
1 เม.ย. – TH S&P Global PMI, EU Inflation, JOLTs Job Openings
2 เม.ย. – Liberation day
3 เม.ย. – GULF กลับมาซื้อขายในตลาด