บล.กรุงศรีฯ
KSS Strategist Comment: SET Index Update KSS ประเมิน SET จะลดลงเพียงระยะสั้นในวันพรุ่งนี้ ราว -1.8% ถึง -3% ประเมินกรอบตั้งรับ 1155- 1130 จุด ( PER 2025F 12.8-12.5x) และน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวหลังจากนั้นใน 3 วัน หากไม่มีปัจจัยลบใหม่ เนื่องจากรัฐบาลน่าจะมีแผนฟื้นฟู กระตุ้นเศรษฐกิจตามมา แนะนำนักลงทุนอย่า Panic ต่อประเด็นดังกล่าว และค่อยๆ พิจารณาวางกลยุทธ์ ดังข้อมูลต่อไปนี้
ปัจจัยกระทบหลัก : วันศุกร์ 13.20น. เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ขนาด 8.2 ริกเตอร์ที่ประเทศเมียนมาร์ สร้างความเสียหายรุนแรงในเมียนมาร์ และเกิดแรงสั่นสะเทือนมาที่ประเทศไทยแบบไม่คาดคิด ซึ่งเป็นแผ่นดินไหวในเขตเศรษฐกิจ กทม ครั้งที่รุนแรงที่สุด ส่งผลอาคารสำนักงานใหม่ของ สตง. ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างถล่ม และความเสียหายบางส่วนต่ออาคารสูง ในเขต กทม.
กรณีศึกษาในอดีต :
1.) สีนามิในไทย วันที่ 26 ธ.ค. 2004 SET ปรับตัวลง -1.2% ในวันทำการหลังเกิดเหตุ และฟื้นตัวภายใน 2 วันทำการ สู่ระดับเดิม (น่าจะนำมาประกอบการวิเคราะห์ได้ แม้เหตุการณ์นี้จะรุนแรงกว่าสถานการณ์ปัจจุบัน)
+กลุ่มที่ Outperform กว่า SET ใน 1 วัน ทำการหลังเกิดเหตุ คือ วัสดุก่อสร้าง , สื่อสาร, อาหาร, ร.พ. และปิโตรเคมี
-ส่วนกลุ่มที่ Underperform ตลาด คือ กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มเช่าซื้อ, กลุ่มธนาคาร และกลุ่มอสังหาฯ
+กลุ่มที่ Outperform กว่า SET ใน 1 สัปดาห์ หลังเกิดเหตุ คือ วัสดุก่อสร้าง , สื่อสาร, แพ็คเกจจิ้ง, บันเทิง และพลังงงาน
-ส่วนกลุ่มที่ Underperform ตลาด คือ กลุ่มท่องเที่ยว และ กลุ่มประกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่กระทบโดยตรงจากผลเสียหายของสึนามิในไทย
2.) แผ่นดินไหว ในประเทศไต้หวัน เมืองฮัวเหลียน วันที่ 3 เม.ย. 24 ดัชนี TAIEX วันที่ 3 เม.ย. 24 ปรับตัวลดลง -0.63% และใช้เวลา 1 วันในการกลับสู่ระดับเดิม (นำมาประกอบการพิจารณาผลกระทบต่อไทยครั้งนี้ได้)
3.) แผ่นดินไหวใหญ่ ภูมิภาคโทโฮคุ (โรงไฟฟ้าฟูกูชิมะระเบิดในลำดับถัดมา) วันที่ 11 มี.ค. 2011 ดัชนี NIKKEI ปรับตัวลงต่อเนื่องอีก 2 วันทำการถัดมา (14-15 มี.ค.) และลงทำจุดต่ำสุด -17.5% ในวันที่ 15 มี.ค. ใช้เวลา 21 เดือนในการฟื้นตัวกลับสู่ระดับเดิม(ผลกระทบรุนแรงเกินกว่า สถานการณ์ ในไทย ไม่ควรนำมาประกอบการวิเคราะห์)
ประเมินผลกระทบแผ่นดินไหวต่อตลาดหุ้นไทย : KSS ประเมิน SET จะลดลงเพียงระยะสั้นในวันพรุ่งนี้ ราว -1.8% ถึง -3% ประเมินกรอบตั้งรับ 1155- 1130จุด( PER 2025F 12.8-12.5x) และน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวหลังจากนั้นใน 3 วัน หากไม่มีปัจจัยลบใหม่
เนื่องจากผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและหุ้นในตลาดค่อนข้างจำกัด โดยกลุ่มอสังหาฯ(ระยะสั้น จะมีความกังวลต่อโครงการแนวดิ่ง) แต่สัดส่วนอสังหาฯในไทย คิดเป็นเพียง 2.5% ของ GDP ขณะที่กลุ่มประกันมูลค่าความเสียหายราว 2.2-2.5พันล้านบาท คิดเป็น Market EPS เพียง -0.05บาทต่อหุ้น ส่วนหุ้นที่มีธุรกิจในเมียนมาร์ เป็นหุันขนาดกลางเครื่องดื่ม และอาหารเป็นส่วนใหญ่ และสุดท้ายกลุ่มท่องเที่ยว บริษัทส่วนใหญ่ แจ้งว่ายังไม่มีการยกเลิก Booking แบบมีนัยฯ แลเโรงแรมยังสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ
โดย KSS ประเมินผลกระทบเชิงพื้นฐานรายกลุ่ม ดังนี้
– a. กลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ :
– กลุ่มที่มีธุรกิจในเมียนมาร์ มีสัดส่วนรายได้ในเมียนมาร์สูง แม้ส่วนใหญ่ทรัพย์สินไม่มีความเสียหาย แต่น่าจะกระทบต่อกำลังซื้อ ได้แก่ MEGA 30%, OSP 10% CBG 7% และ ICHI 7% ตามลำดับ ส่วน TOA (2-3% ของรายได้) และ THG (ถือหุ้น 40% ใน ร.พ. Ar Yu) คาดเป็นกลาง
– กลุ่มที่มีธุรกิจเกี่ยวโยงกับกรณีอาคาร สตง. ถล่ม คือ ผู้รับเหมา ITD (ส่วนเจ้าหนี้ คือ ธนาคาร คาดกระทบจำกัด เพราะได้ตั้งสำรองไปแล้ว)
– ประกันที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาคารดังกล่าว TIPH (40% ของวงเงินประกัน 2.2 พันล้านบาท หรือราว 896 ล้านบาท vs ระดับเงินกองทุนสำรองใช้ได้ 7.6 พันล้านบาท ขณะที่คิดเป็นผลกระทบ 1.5 บาทต่อหุ้น) , BKIH (25% ของวงเงินประกัน 2.2 พันล้านบาท หรือราว 560 ล้านบาท vs เงินกองทุนสำรองใช้ได้ 4.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่คิดเป็นผลกระทบต่อหุ้นราว 5.4 บาท )
– กลุ่มอสังหาฯ ที่มีโครงการแนวดิ่ง ต้องรอการตรวจสอบฟื้นความเชื่อมั่น
คำแนะนำ : สำหรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ ระยะสั้นหลีกเลี่ยง แต่ให้รอโอกาสสะสม เพื่อระยะกลาง เช่น กลุ่มอสังหาฯ ที่อาคารมีความเสียหายต่ำ แต่เกิด Panic ราคาลงเกิน -10% รอตั้งรับ SIRI, SC, LH และ กลุ่มประกันที่กำไรจะลดลงเพียง 1 ไตรมาส และเบี้ยประกันในอนาคตจะสูงขึ้น หากหุ้นปรับฐานลึก -15% ขึ้นไป รอตั้งรับ TIPH, BKIH
*b. กลุ่มที่มีผลกระทบระยะสั้นเชิงจิตวิทยา แต่ภาพอุตสาหกรรมมีปัจจัยลบอื่นๆ เน้น Selective หุ้นรายตัวในกลุ่ม : บันเทิง ชิ้นส่วนฯ เกษตร-อาหาร กลุ่มขนส่งทางบวก ขนส่งทางเรือ
คำแนะนำ กลุ่ม b. เน้น Selective หุ้นรายตัวที่แข็งแกร่งในกลุ่ม บันเทิง เลือก PLANB, เกษตร – อาหาร เลือก CPF, ขนส่งทางบก เลือก BTS
*c. กลุ่มที่มีผลกระทบระยะสั้นเชิงจิตวิทยา แต่ราคาน่าจะปรับตัวลงระยะสั้น แต่แนะนำทยอยตั้งรับเนื่องจากอุตสาหกรรมมีภาพบวก คือ กลุ่มท่องเที่ยว การบิน กลุ่มนิคม กลุ่มธนาคาร (กลุ่มเสี่ยงผันผวน คือ กลุ่มที่มีสินเชื่อบ้านสูง อาทิ SCB 32% TTB 25% KTB 19% KBANK 17%) กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่ม ร.พ. กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มรับเหมา
คำแนะนำในกลุ่ม c. สำหรับ กลุ่มท่องเที่ยว เลือก MINT, นิคม เลือก AMATA, กลุ่มธนาคาร เลือก KBANK, กลุ่มโรงไฟฟ้า เลือก GPSC, กลุ่ม ร.พ. เลือก BDMS, BH, กลุ่มเช่าซื้อ เลือก MTC, กลุ่มรับเหมา เลือก STECON
+ d. กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว หรืออาจได้อานิสงส์บวก : กลุ่มจำหน่ายสินค้า+บริการจำเป็น หรือกลุ่มได้ประโยชน์จากการซ่อมแซ่มรอบใหญ่หลังจากนี้ ค้าปลีก (บวกกลุ่มสินค้าจำเป็น และ Home Improvement) กลุ่มสื่อสาร กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มที่ปรึกษางานอาคาร/โครงสร้าง กลุ่มรับเหมาเสาเข็ม
KSS แนะนำกลยุทธ์หลัก รวมถึงผู้รับความเสี่ยงได้น้อย ระยะสั้น-กลาง เน้นหุ้นกลุ่มข้อ d โดยเฉพาะกลุ่มที่มี Deep Value อาทิ CPALL, CPAXT, BJC, HMPRO, GLOBAL, SCC กลุ่มที่อยู่ในช่วง Upcycle อาทิ ADVANC, TRUE ส่วนเก็งกำไรเน้นไปที่กลุ่มวัสดุก่อสร้างขนาดเล็ก-กลาง SCGD, DCC กลุ่มเสาเข็ม PYLON และเก็งกำไรกลุ่มที่ปรึกษางานอาคาร/โครงสร้าง STI, TEAMG, PPS