บล.กรุงศรีฯ: 

เก่งหลังเกมส์ 

SET Index ร่วง 51 จุด (-4.5%) ปิดที่ระดับ 1,075 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6.67หมื่นล้านบาท (จำนวนหุ้นปรับลง 608 บริษัท, หุ้นปรับขึ้น 21 บริษัท) กังวล Reciprocal tax กระทบเศรษฐกิจอาเซียนและของไทยมากสุด เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่โครงสร้าง GDP มาจากภาคการส่งออกเป็นสัดส่วนหลัก Sector ที่ปรับลงกดดัชนี คือ พลังงาน (GULF, PTT, PTTEP), ธนาคาร (KBANK, SCB, KTB), และ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT) ส่วน Sector ที่ปรับขึ้น คือ กลุ่มอิเล็กฯ (DELTA) 

หุ้นที่เคลื่อนไหวผันผวน คือ

PTTEP (-9.2%), PTT (-3.97%) กังวล Reciprocal tax กระทบเศรษฐกิจโลก กดดันดีมานด์พลังงานลดลงเป็นลบกับกลุ่มพลังงานต้นน้ำเช่น PTTEP และ PTT ซึ่งมีสูตรราคา link อยู่กับราคาน้ำมันดิบ (Oil link Company) ล่าสุด Goldman Sachs คาดราคาน้ำมันดิบ Brent มีโอกาสร่วงต่ำกว่าระดับ 40$/bbl หากสถานการณ์สงครามการค้ารุนแรงขึ้นจนก่อให้เกิด Recession (ปัจจุบัน 64$/bbl)

KBANK (-8.46%), SCB (-6.94%), KTB (-7.93%), BBL (-5%) GDP มี downside จากผลกระทบของ Reciprocal tax ทำให้ loan growth เสี่ยงต่ำกว่าที่ตลาดคาด ในขณะเดียวกันการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจะกดดันให้แบงก์ชาติต้องลดดอกเบี้ยเป็นลบโดยตรงกับกลุ่มธนาคาร เบื้องต้นนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของเราประเมินหากแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยทุกๆ 0.25% จะกระทบคาดการณ์กำไรกลุ่มธนาคารประมาณ 5%และ ปัญหาหนี้เสียอาจกลับมาอีกครั้ง

BTS (-10.80%), BTS (-10.80%), BA (-7.93%), STECON (-7.04%) มีจิตวิทยาลบโดยตรงหลังนายกฯ แถลง เลื่อนการพิจารณากฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ออกไปก่อนเนื่องจากต้องการให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาภาษี Reciprocal กับทางสหรัฐเป็นการสำคัญมากกว่า

AMATA (-15.48%), WHA (-14.29%) ภาษี Reciprocal ที่สหรัฐเรียกเก็บไทย, เวียดนาม และ ลาว ในอัตราสูง 37%, 46% และ 48% ตามลำดับ ทำให้ส่วนต่างภาษีเมื่อเทียบกับจีนแคบลงทำให้ข้อได้เปรียบของอัตราภาษีที่เคยเป็นแรงจูงใจให้เกิดกระแสการย้ายฐานผลิตลดลงเป็นลบโดยตรงต่อผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมในไทย, เวียดนาม และ ลาว 

- Advertisement -