KS Daily View 09.04.2025 >>> จีนไม่ถอยขึ้นภาษีตอบโต้ 34% ทรัมป์ขึ้นภาษีจีนอีก 50% มองกรอบ SET วันนี้ 1,030-1,050 หุ้นแนะนำ TIDLOR และ BDMS
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงอีกครั้งแม้จะรีบาวด์ขึ้นแรงในช่วงเปิดตลาด โดยดัชนี S&P 500 ลดลง 1.57% ปิดต่ำกว่า 5,000 จุด ครั้งแรกในรอบ 1 ปี, Nasdaq Composite ลดลง 2.15% และ Dow Jones ลดลง 0.84% โดยมีแรงกดดันจากการที่จีนไม่ถอนการขึ้นภาษี 34% ตามเวลาที่กำหนด ทำให้ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีกับจีนเพิ่มอีก 50% รวมเป็น 104% ส่งผลให้ตลาดหมดความหวังในข้อตกลงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเส้นตาย 9 เม.ย.
ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,074.59 จุด ปรับตัวลงราว 50 จุด (-4.5%) ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเมื่อวันจันทร์จากความกังวลสงครามการค้าที่รุนแรงมากขึ้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,475 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 4,768 ล้านบาท หุ้นปรับตัวลงแรงทุกกลุ่ม มีเพียงอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด และกลุ่มสื่อสารที่พอยืนได้ โดยเราประเมินตลาดหุ้นไทยยังมี Downside และวันนี้อาจปรับตัวลงได้ถึงบริเวณ 1,030-1,050 หลังยังไม่มีความคืบหน้าการเจรจาภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ, ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องแม้ดอลลาร์จะไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากนักสะท้อนเงินไหลออก และสงครามการค้าที่รุนแรงยิ่งขึ้นหลังสหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีกับจีนอีก 50% รวมเป็น 104% ในวันนี้ 11.00 ตามเวลาประเทศไทย สำหรับหุ้นแนะนำเป็น BDMS, TIDLOR
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
- นายพิชัย ชุณหวชิร เผยแผนปรับสมดุลการค้าไทย-สหรัฐ ใช้เวลา 10 ปี โดยเน้นลดการเกินดุลการค้า ไม่ใช่ลดภาษี เสนอ 5 แผน ได้แก่ นำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่ม ลดภาษีบางรายการ ยกเลิกอุปสรรคการค้า ป้องกันการสวมสิทธิแหล่งกำเนิดสินค้า และสนับสนุนเอกชนไทยลงทุนในสหรัฐ รัฐบาลเตรียมมาตรการรองรับเศรษฐกิจภายใน และเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อประโยชน์ร่วมกัน
- ครม. มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.ก. 2 ฉบับเพื่อป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้แก่ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่มีการปรับปรุงสาระสำคัญหลายประการ เช่น การเพิ่มนิยามและการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล การคัดกรองข้อความหลอกลวง การระงับบริการโทรคมนาคม การคืนเงินผู้เสียหาย และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ และ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ที่กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้บริการแก่คนในประเทศไทยต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมายไทย โดยทั้งสองฉบับจะมีผลบังคับใช้ทันทีหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา
- ครม. เห็นชอบมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยลดค่าจดทะเบียนการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับบ้าน อาคารพาณิชย์ และห้องชุดที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมินไม่เกิน 7 ล้านบาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาจนถึง 30 มิ.ย. 69 ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV เพื่อบรรเทาปัญหาอุปทานคงค้างในตลาดอสังหาริมทรัพย์
- ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่ 104% ในวันพุธนี้ หลังจากทรัมป์เพิ่มภาษีอีก 50% เนื่องจากจีนไม่ยอมถอนมาตรการตอบโต้ภาษี 34% ตามกำหนดเวลา โดยเมื่อรวมกับภาษีที่มีอยู่เดิม จะทำให้อัตราภาษีเฉลี่ยบนสินค้านำเข้าจากจีนพุ่งสูงถึงเกือบ 125% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสินค้าหลายประเภทที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนเป็นหลัก เช่น ของเล่น อุปกรณ์สื่อสาร สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
- รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Scott Bessent เปิดเผยว่าญี่ปุ่นจะได้รับการพิจารณาเป็นลำดับแรกในการเจรจาลดภาษีนำเข้า เนื่องจากเป็นพันธมิตรทั้งด้านเศรษฐกิจและการทหาร และไม่ได้ตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและประธานาธิบดีทรัมป์ได้หารือทางโทรศัพท์เมื่อวันจันทร์เพื่อเตรียมการเจรจา ส่วนเกาหลีใต้ก็มีแนวโน้มที่ดีในการเจรจาข้อตกลงการค้าหลังการสนทนาระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีรักษาการ Han Duck-soo โดยอาจรวมถึงโครงการความร่วมมือด้านท่อส่งก๊าซในอลาสก้าด้วย
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
BDMS: ราคาพื้นฐาน 28.00 บาท
เราคงมุมมองเชิงบวกต่อ BDMS จากการประมาณการกำไรในไตรมาส 1 ปี 2568 ที่จะเติบโตได้ประมาณ 7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งจะเป็นผลประกอบการระดับสูงสุด โดยกำไรในไตรมาส 1 ปี 2568 คิดเป็น 26.6% เมื่อเทียบกับประมาณการผลประกอบการทั้งปีของเรา ในขณะที่เราคาดรายได้ในไตรมาส 1 ปี 2568 มีโอกาสเติบโตประมาณ 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งน้อยกว่าที่บริษัทคาดไว้ เนื่องจากรายได้ในเดือนมีนาคมที่อ่อนแอกว่าในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ อย่างไรก็ตาม รายได้จากคนไข้ต่างชาติยังสามารถเติบโตได้ดีในระดับประมาณ 10% โดยเฉพาะจากคนไข้ตะวันออกกลาง ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอาจจะลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากค่าเสื่อมที่สูงขึ้นของโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์ แต่ส่วนที่ทำได้ดีขึ้นคือการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ส่งผลให้เราคาดว่าอัตรากำไร EBITDA จะยังคงเพิ่มขึ้นทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีก่อน
TIDLOR: ราคาพื้นฐาน 23.00 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ TIDLOR สำหรับปี 2568 จากการคาดการณ์การลดลงของต้นทุนด้านเครดิตน้อยลงจากปีก่อนหน้าที่ 3.4% จากการปรับกระบวนการติดตามหนี้และการจัดสรรทรัพยากรในการเก็บหนี้ พร้อมทั้งทำการตัดหนี้สูญเชิงรุก (active write-off) ในช่วงปี 2566-2567 ที่ผ่านมา ทำให้ลูกหนี้กลุ่มใหม่ (vintage ใหม่) มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ เราคาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะลดลงมากกว่าที่ตลาดคาด จากราคารถมือสองที่หยุดปรับตัวลดลงและมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นในครึ่งแรกของปี 2568 โดยราคารถมือสองปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา เราแนะนำให้นักลงทุนระยะสั้นซื้อเก็งกำไรจากการคาดการณ์การปิด short position ก่อนวันแลกหุ้น และแนะนำให้นักลงทุนระยะยาวแลกหุ้นสำหรับการลงทุนใน TIDLOR Holding ต่อเนื่อง จากระดับ valuation ที่อยู่ในระดับ P/E ประมาณ 9 เท่า
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันพุธวันพุธ ติดตามดัชนีรายงานความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของญี่ปุ่นเดือน มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 34.8 จุดเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 35 จุด ต่อด้วยรายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารสหรัฐ (FOMC minutes)
- วันพฤหัสฯ ติดตามรายงานอัตราเงินเฟื้อของจีน (China CPI) เดือน มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +0.10% YoY เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ -0.70% YoY ต่อด้วยตัวเลขเงินสหรัฐฯ (US CPI) เดือน มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +2.6% YoY ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ +2.8% YoY ขณะที่ Core CPI ตลาดคาดที่ +3.0% YoY ลดลงจาก +3.1% YoY ในเดือนก่อนหน้า
- วันศุกร์ ติดตามดัชนีราคาผู้ผลิต (US PPI index) ของสหรัฐฯ สำหรับเดือน มี.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 3.2% YoY และ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภครัฐจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (Michigan Consumer Sentiment Prelim) เดือน เม.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 55.0 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 57.0 จุด