KS Daily View 21.04.2025 >>> คาด SET ขึ้นต่อ หนุนจากการเจรจาทางการค้า/ลดดอกเบี้ย กนง. มองกรอบ SET วันนี้ 1,130-1,175 จุด แนะนำ SCGP, AURA

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้:

คาดตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้แกว่งตัวในกรอบ 1,130-1,175 จุด โดยแนวโน้มหลักยังเป็นขาลง แต่ระยะสั้นความเสี่ยงด้านลบเริ่มจำกัดหลังรับรู้ข่าวลบไปมากแล้ว ทำให้ดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวต่อ โดยเฉพาะหลังบรรยากาศการลงทุนพลิกเป็นบวกจากการที่ทรัมป์เลื่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าออกไป 90 วัน สร้างความหวังว่าประเทศคู่ค้าต่างๆ จะบรรลุข้อตกลงได้ ซึ่งในวันพุธที่ 23 เม.ย. นี้คณะเจรจาการค้าของไทยมีกำหนดเข้าพบผู้แทนการค้าสหรัฐฯกลุ่มที่มีโอกาส Outperform คือหุ้นส่งออกและ Global play เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA HANA KCE) อาหารสัตว์เลี้ยง (ITC AAI) ยานยนต์ (AH SAT) และพลังงาน (PTTEP TOP SPRC) รวมถึง CPF ที่อาจได้ประโยชน์หากไทยนำเข้าธัญพืชราคาถูกจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้กลุ่ม China play (PTTGC IVL SCC SCGP) อาจมีเม็ดเงินเข้าเก็งกำไรจากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน โดยวันจันทร์ PBOC จะประกาศอัตราดอกเบี้ยซึ่งมีโอกาสปรับลดเพื่อพยุงเศรษฐกิจขณะที่กลุ่ม Domestic play อย่างธนาคารอาจเผชิญแรงกดดันหลังหลายแห่งรายงานผลประกอบการที่สร้างความกังวลเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ และมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจาก กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยในวันที่ 30 เม.ย. เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวจากผลกระทบแผ่นดินไหวและการปรับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,150.95 จุด เพิ่มขึ้นราว 10 จุด (+0.85%) เป็นการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์ 1.97% มากที่สุดในรอบ 16 สัปดาห์ เราประเมินตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อ ตอบรับบรรยากาศการลงทุนที่พลิกกลับมาเป็นบวกบนความคาดหวังข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก PBOC และ กนง. หุ้นแนะนำในสัปดาห์นี้ AURA SCGP MTC CPF กรอบวันนี้มองที่ 1,135 – 1,165

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1. ประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่างเร่งเจรจาเพื่อขอลดภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บ โดยญี่ปุ่นเสนอเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ และพิจารณาทบทวนมาตรฐานความปลอดภัยรถยนต์ เพื่อขอลดภาษีทั่วไป 24% ที่ถูกลดชั่วคราวเหลือ 10% และภาษี 25% สำหรับรถยนต์ เหล็ก และอลูมิเนียม ขณะที่เกาหลีใต้ส่งรัฐมนตรีคลังและการค้าเข้าเจรจาที่วอชิงตันเพื่อขอลดภาษีในอัตราเดียวกัน ทั้งสองประเทศถือเป็นหนึ่งในคู่เจรจาลำดับต้นๆ ของสหรัฐฯ พร้อมกับอังกฤษ ออสเตรเลีย และอินเดีย

2. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ชี้แจงเกี่ยวกับโครงการประมูลไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ว่าดำเนินการตามกฎหมายและคำแนะนำของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยมีการเซ็นสัญญาแล้ว 67 โครงการจากทั้งหมด 83 โครงการ ส่วนอีก 16 โครงการที่เหลือกำลังพิจารณาชะลอการลงนามเพื่อตรวจสอบประเด็นที่สังคมกังวล ทั้งนี้ สัญญาที่ลงนามไปแล้วมีเงื่อนไขพิเศษที่สามารถยกเลิกได้ทันทีหากพบว่ามีการกระทำผิด โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด 25 ปี

3. รัฐบาลไทยประกาศ 5 มาตรการช่วยเหลือผ่าน EXIM BANK เพื่อช่วยผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ประกอบการไทยกว่า 3,700 ราย มูลค่าส่งออกราว 7,634 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาตรการประกอบด้วย การจัดตั้งคลินิกผู้ประกอบการ การให้คำแนะนำและข้อมูล การสนับสนุนการขยายตลาดใหม่ การสนับสนุนการนำเข้าจากสหรัฐฯ และการส่งเสริมการลงทุนในสหรัฐฯ โดยมุ่งหวังช่วยผู้ประกอบการไทยรับมือกับความท้าทายด้านการค้าระหว่างประเทศ

4. TTB มีกำไรลดลงเพราะค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญที่สูงขึ้นจากการตั้งสำรองพิเศษ และรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงเนื่องจากการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดและการเติบโตที่อ่อนแอของอุตสาหกรรมยานยนต์ ขณะที่ KTB มีกำไรเติบโตดีจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลงตามฤดูกาลและกำไรจากเงินลงทุน ด้านคุณภาพสินทรัพย์ TTB มีความกังวลมากกว่าเพราะสินเชื่อที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการปรับลดคุณภาพของลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่ตามเกณฑ์การจัดชั้นที่เข้มงวด ส่วน KTB มีหนี้เสียเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ยังควบคุมได้ สำหรับแนวโน้มในอนาคต ทั้งสองธนาคารมีความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดย TTB อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ และอาจต้องตั้งสำรองเพิ่มหากภาคการส่งออกยังซบเซา ขณะที่ KTB มีความท้าทายจากส่วนต่างดอกเบี้ยที่ลดลงตามการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาส 4/2567 ถึงไตรมาส 1/2568

5. ประธานาธิบดีปูตินสั่งหยุดยิงในยูเครนเป็นเวลา 30 ชั่วโมงในช่วงวันอีสเตอร์ เริ่มตั้งแต่ 18:00 น. ตามเวลามอสโกวันเสาร์ จนถึงเที่ยงคืนวันอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีเซเลนสกี้ปฏิเสธการประกาศดังกล่าว โดยเรียกว่าเป็นการแสดงละคร และเรียกร้องให้หยุดยิงเป็นเวลา 30 วันแทน การประกาศหยุดยิงนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ เตือนว่าอาจยุติความพยายามในการยุติสงครามในยูเครนภายในไม่กี่วันหากไม่มีความคืบหน้าสู่การหยุดยิง โดยสหรัฐฯ เปิดกว้างที่จะยอมรับไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียภายใต้ข้อตกลงสันติภาพกับยูเครน

Daily pick

SCGP: ราคาพื้นฐาน 14.00 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อ SCGP จากงบในไตรมาส 1 ปี 2568 ที่คาดว่าจะออกมาที่ระดับ 779 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากในไตรมาส 4 ปี 2567 ที่ผ่านมา โดยในปี 2568 เรามองว่าจะไม่มีรายการพิเศษขนาดใหญ่อย่างในไตรมาส 4 ปี 2567 มารบกวนการฟื้นตัวของ SCGP ในปีนี้ เราประเมินรายได้มีโอกาสเติบโตได้ราว 3-4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มาจากปริมาณขายที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทย และเราคาดว่าในไตรมาส 2 ปี 2568 SCGP มีโอกาสได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากการเติมสต็อกสินค้าต่างๆ ภายใน 90 วัน ก่อนที่ US reciprocal tariff จะเริ่มบังคับใช้ในไตรมาส 3 ปี 2568 นี้ อีกทั้งเรามองว่า Fajar จะมีผลประกอบการที่ดีขึ้นในปี 2568 โดยในไตรมาส 1 ปี 2568 คาดว่าจะเห็นผลขาดทุนที่ลดลงจาก 200 ล้านบาท และมีโอกาสจะเห็น EBITDA breakeven ในไตรมาส 2 ปี 2568 นี้

AURA: ราคาพื้นฐาน 20.10 บาท

เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อ AURA จากราคาทองคำที่ปรับขึ้นมายืนเหนือ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งยังคงเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้บริษัทคาดมีกำไรจากส่วนต่างการซื้อขายทองคำของธุรกิจ Gold trading และคาดการทยอยปรับค่ากำเหน็จขึ้นในครึ่งหลังปี 2568 จะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตต่อเนื่อง โดยในสัปดาห์หน้าวันที่ 21 เมษายน AURA จะประกาศแผนระยะยาว 3 ปี คาดว่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ตลาดกลับมาสนใจและเข้าใจความสามารถในการเติบโตของ AURA ได้มากขึ้น นอกเหนือจากแผนระยะสั้นที่มีการตั้งเป้า 2568 ที่จะเพิ่มสาขาเป็น 644 สาขา และการเติบโตพอร์ตสินเชื่อ gold finance เป็น 6,500 ล้านบาท หรือเติบโต 30% พร้อมตั้งเป้ากำไรสุทธิปี 2568 โต 20-30% โดยมีแผนขยายเพดานหนี้จาก 2 เท่าเป็น 2.5 เท่าและมีแผนออกหุ้นกู้ 2-3 พันล้านบาท พร้อมขอวงเงินกู้ syndicate loan อีก 3-4 พันล้านบาทที่คาดว่าจะเห็นผลในไตรมาส 2 ปี 2568 ช่วยเสริมสภาพคล่องการขยายสาขา นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเนื่องจาก AURA มีสัดส่วนเงินกู้ที่เป็นอัตราลอยตัวราว 98%

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันจันทร์ ติดตาม Loan prime rate ของธนาคารกลางจีนเดือน เม.ย. ระยะเวลา 1 ปีคาดการณ์ไว้ที่ 3.10% ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า และ Loan prime rate อายุ 5 ปีคาดการณ์ไว้ที่ 3.60% ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ต่อด้วยการประชุมของ IMF เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจโลก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
  • วันอังคาร ติดตามบทสัมภาษณ์ของ ประธาน ECB Christine Lagarde จากการให้สัมภาษณ์กับรายการของ CNBC ต่อด้วยดัชนีความเชื่อมันของผู้บริโภคของยุโรป (EU CCI) เดือน เม.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ -15.1 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่-14.5 จุด ปิดท้ายด้วยดัชนีภาคการผลิตของรัฐริชมอนด์ (Richmond Manufacturing Index) ของสหรัฐฯ เดือน เม.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ -6.0 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -4.0 จุด
  • วันพุธ ติดตามรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของโซนยุโรป (HCOB Manufacturing PMI Flash) เดือน เม.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 47.5 จุด ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 48.6 จุด ต่อด้วยการรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของสหรัฐ (S&P Global US Manufacturing PMI Flash) เดือน เม.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 49.3 จุด ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 50.2 จุด
  • วันพฤหัสฯ ติดตามยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ (US Durable Goods Orders) เดือน มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +1.5% MoM เร่งตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ +1.0% MoM ต่อด้วยรายงานยอดขายบ้านมือสอง (Existing Home Sales) เดือน มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 4.14 ล้านหลัง ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.26 ล้านหลัง
  • วันศุกร์ ติดตามรายงานของกระทรวงพาณิชย์ไทยในตัวเลขส่งออก (TH Export) เดือน มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +10.7% YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ +14.0% YoY และตัวเลขนำเข้าเดือน (TH Import) มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +3.6% YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ +4.0% YoY
- Advertisement -