บล.กรุงศรีฯ:
KSS Strategist Comment : Markets Update 15.55 น. ภาพรวมสินทรัพย์ในช่วง 1-22 เมย 2025 หลังรับแรงกระแทกจาก US Reciprocal Tariff
Facts : ผลตอบแทนรายตลาดในเดือนเมษายน 2025 (MTD) สะท้อนแรงกระแทกของมาตรการภาษีตอบโต้ระหว่างสหรัฐและจีน (Reciprocal Tariff – 22 เม.ย.) อย่างชัดเจน โดยตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ภาวะ Risk-off ยกเว้นกลุ่ม Defensive & Alternative Assets
กลุ่มที่ Outperform (MTD):
- Gold: +11.07% : ปรับตัวแรงจากความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์และภาวะดอลลาร์อ่อนค่ารุนแรงหลังนโยบายภาษีตอบโต้หนุน
- SENSEX (India): +2.88%
- ได้ประโยชน์จากการ Reallocation Flow หนีจีน
- ภายในประเทศยังแข็งแกร่ง ทั้งเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน
- การเลือกตั้งอาจเพิ่มความผันผวนระยะสั้น แต่ระยะกลางยังได้เปรียบ
- KOSPI (เกาหลีใต้): MTD +0.29%
- ได้ประโยชน์บางส่วนจากการกระจาย Supply Chain ออกจากจีน
- แต่ยังมีแรงกดดันจาก Semiconductor Downcycle และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์จากเกาหลีเหนือ
- คงสถานะ “Neutral to Slight Positive” ด้วยราคาหุ้นที่ยังไม่แพง
- Thai BMA Composite Index: +1.05% : ตราสารหนี้ไทยยังมีเสถียรภาพ ท่ามกลางความเสี่ยงตลาดโลก และมีแนวโน้มดอกเบี้ยปรับลงในระยะถัดไป
- SET Index (Thailand): -0.63% : ตลาดไทยอยู่ใน Deep Value Zone ERP มากกว่า +2SD กว่า 5.3% หลังปรับลงมาตลอด 2 ปีเศษ
- ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ตลาดที่กำลังจะฟื้นตัว เหนือช่วงมาตรการ Reciprocal Tariff
- เนื่องจากแนวทางนโยบายการค้าแบบสมดุล เป็นกลางระหว่างจีน-สหรัฐ
- นโยบายกระตุ้นในประเทศ (Soft Stimulus + งบประมาณใหม่) หนุนกลุ่ม Domestic Consumption และ Infra
- กระแสเงินทุนต่างชาติเริ่ม “เลือก” ไทยเป็นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในกลุ่ม EMs แต่มุ่งเน้นไปที่ Fixed Income > Equity
กลุ่มตลาดที่ Underperform (MTD):
- สหรัฐฯ (NASDAQ -7.6%, S&P500 -8.02%)
- โดนแรงกดดันทั้งจาก Tech Margin ที่ถูกบีบ และความกังวลเงินเฟ้อจากต้นทุนภาษี
- Valuation ยังสูง และตลาดเทขาย Tech หนัก
- เป็น “ตลาดที่ต้องหลีกเลี่ยงเชิง Tactical” จนกว่าสถานการณ์การค้าจะสงบ
- Taiwan / Vietnam (Underperform -8.35%-9.17%)
- Taiwan / Vietnam: โดนหางเลขจาก Tech และ Export Chain
- การตอบโต้ภาษีทำให้ตลาดเหล่านี้กลายเป็น “Collateral Damage” ระยะสั้น
Strategy : ระยะสั้น ภาษีตอบโต้ล่าสุดกลายเป็น “ตัวจุดชนวน” ความกลัวด้าน Recession, Margin compression และ Cost inflation
- ตลาดที่มีความยืดหยุ่นจากภายใน และได้รับ flow จาก geopolitical hedging จะ Outperform
มุมมองเชิงกลยุทธ์ต่อ SET Index
- SET Index ยืนเหนือ EMA 5, 10วัน และกำลังพยายามขึ้นเหนือ EMA 20วัน คาดจากแรงซื้อเชิงกลยุทธ์จากนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศบางส่วน
- กระแส “China+1” และ Reallocation Flow จาก Tech market (เช่น US) มาสู่ “Low-Beta EM” เช่น ไทย และอินเดีย กำลังหนุนตลาด
- อัตราดอกเบี้ยไทยและ EMs ที่มีแนวโน้มลดลง ขณะที่ Fed อาจต้องคงเพื่อรอประเมินทิศทางเงินเฟ้อจากภาษีตอบโต้ เป็นบวกต่อหุ้นไทย ภาค Domestic Consumption Utilities High Yield Consumer Finance และกลุ่ม Valuation ที่ไม่แพง
- กลุ่มบริโภคฟื้นตัว (CPALL, BJC, HMPRO, CRC, CPN)
- Utilities(GULF, GPSC)
- High Yield(ADVANC, LH, AP)
- Consumer Finance(MTC)
- และกลุ่ม Valuation ไม่แพง (SCGP, HMPRO, CPALL, MINT, GPSC, BDMS, BH, BBL, KBANK, AOT)
- กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการรัฐ (STECON, CK)