KS Daily View 24 เม.ย. 2025>>> S&P 500 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังเผยอาจลดภาษีให้จีนและใกล้บรรลุดีลกับอินเดีย ประเมินหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นต่อ รับปัจจัยบวกจากภายนอก มองกรอบวันนี้ที่ 1,140 – 1,175 หุ้นแนะนำ SCGP, AMATA และติดตามตัวเลขส่งออกเดือน มี.ค.

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.67%, Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 2.50% และ Dow Jones เพิ่มขึ้น 1.07% (โดย S&P 500 เพิ่มขึ้นสูงสุดระหว่างวันราว 3.5%) เนื่องจากทรัมป์และสก็อตต์ เบสเซนท์ ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการค้ากับจีน และทรัมป์ยืนยันไม่มีแผนปลดพาวเวลล์จากตำแหน่งประธานเฟด อย่างไรก็ตามการที่ ตลาดลดช่วงบวกลงในช่วงท้ายวัน มาจากเบสเซนท์แถลงว่าสหรัฐฯ ยังไม่มีแผนลดภาษีจีนแบบฝ่ายเดียว สะท้อนความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่

ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,153.77 จุด ปรับตัวขึ้นราว 10 จุด (+0.85%) รับปัจจัยบวกจากการเจรจาสงครามการค้าที่มีความคืบหน้าระหว่างสหรัฐฯ และอินเดีย รวมถึงการส่งสัญญาณอาจมีการเจรจาการค้ากับจีน โดยดัชนีปรับตัวขึ้นหลักๆ แล้วมาจาก DELTA ที่มีส่วนหนุนตลาดถึง 7 จุด ตามมาด้วยหุ้น AOT และสายการบิน ขานรับ FAA ปรับระดับความปลอดภัยการบินของไทยขึ้น เรายังประเมินตลาดหุ้นไทยจะยังปรับตัวขึ้นต่อได้ ภายหลังจากที่เมื่อคืนนี้ยังมีประเด็นบวกจากการผ่อนคลายความตึงเครียดสงครามการค้าที่มีความชัดเจนมากขึ้น โดยสหรัฐฯ กำลังพิจารณาลดภาษีนำเข้าจากจีนให้เหลือประมาณ 50-65% และคงไว้ 100% สำหรับสินค้าที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ในขณะเดียวกัน สก็อตต์ เบสเซนท์ ได้ออกมาย้ำถึงโอกาสในการทำข้อตกลงการค้าครั้งใหญ่กับจีน

เรามองกรอบวันนี้ที่ 1,140 – 1,175 จุด หุ้นแนะนำเป็น SCGP, AMATA และติดตามตัวเลขส่งออกเดือน มี.ค. ที่ตลาดคาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงจาก 14% สู่ 10.7%

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

  1. ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงท่าทีผ่อนปรนโดยระบุว่าจะ “ใจดี” กับจีนและพร้อมลดภาษีนำเข้า โดยทำเนียบขาวกำลังพิจารณาแผนลดภาษีนำเข้าจากจีนให้เหลือประมาณ 50-65% และอาจใช้ระบบภาษีแบบแบ่งระดับ คือ 35% สำหรับสินค้าทั่วไป และ 100% สำหรับสินค้าที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ นอกจากนี้ยังพิจารณายกเว้นภาษีนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ โดยเฉพาะจากจีน รวมถึงภาษีเหล็กและอลูมิเนียมด้านรัฐมนตรีคลังสก็อตต์ เบสเซนท์ แสดงความเห็นในเชิงบวกต่อโอกาสในการทำข้อตกลงการค้าครั้งใหญ่กับจีน แต่ยืนยันว่าสหรัฐฯ จะไม่ลดภาษีนำเข้าจากจีนฝ่ายเดียว โดยทั้งสองฝ่ายต้องลดภาษีที่สูงเกินไป (สหรัฐฯ 145% และจีน 125%) พร้อมกัน ขณะที่การเจรจากับอินเดียมีความคืบหน้าและใกล้บรรลุข้อตกลง
  2. กระทรวงการคลังเตรียมอัดฉีดเงิน 5 แสนล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวจากผลกระทบสงครามการค้า หลังจาก IMF ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยปี 2568 เหลือ 1.8% จากเดิม 2.5-3% โดยจะดำเนินการผ่านหลายมาตรการ เช่น การปรับแผนงบประมาณปี 68/69 การให้ธนาคารของรัฐปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือการกู้เงินในประเทศ แม้การดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 64% เป็น 80% ของ GDP แต่ปลัดกระทรวงการคลังระบุว่าไม่น่ากังวล หากมีการบริหารจัดการที่ดีและมีแผนการใช้คืนที่ชัดเจน โดยมาตรการนี้มุ่งเน้นการเพิ่มกำลังซื้อ กระตุ้นการบริโภคและการลงทุน เพื่อทดแทนรายได้การส่งออกที่สูญเสียไปจากปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
  3. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศใช้มาตรการ Auto Pause สำหรับหลักทรัพย์รายตัวเริ่ม 6 พ.ค. 2568 โดยจะหยุดการซื้อขายอัตโนมัติเป็นเวลา 60 นาที หากพบปริมาณคำสั่งซื้อหรือขายรวมมากกว่า 15% ของจำนวนหลักทรัพย์จดทะเบียน แบ่งเป็นช่วง Pause 40 นาที และ Pre-Open 20 นาที มาตรการนี้จะใช้ไม่เกิน 1 ครั้งต่อวันต่อหลักทรัพย์ ครอบคลุมหุ้นสามัญ REIT Property Fund และ Infrastructure Fund รวมถึงหลักทรัพย์ที่อ้างอิง เช่น Warrant และ DW โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์และนักลงทุนมีเวลาตรวจสอบและจัดการคำสั่งซื้อขายที่ผิดปกติ
  4. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) รายงานผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. 2567 – มี.ค. 2568) สามารถเบิกจ่ายได้ 79,173 ล้านบาท สูงกว่าแผน 106% จากกรอบงบลงทุนรวมทั้งปี 258,372 ล้านบาท โดยรัฐวิสาหกิจที่มีผลการเบิกจ่ายโดดเด่น ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และการประปานครหลวง โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วง รถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ที่สามารถเบิกจ่ายได้ 100% ตามแผน
  5. กลุ่ม OPEC+ จะพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนมิถุนายนเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน โดยสมาชิก 8 ประเทศจะประชุมวันที่ 5 พฤษภาคม เพื่อหารือเรื่องการเพิ่มกำลังการผลิตในปริมาณใกล้เคียงกับเดือนพฤษภาคมที่เพิ่มขึ้น 411,000 บาร์เรลต่อวัน (มากกว่าแผนเดิมถึง 3 เท่า) ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างประเทศสมาชิกที่ผลิตตามและเกินโควตา ขณะที่ราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

  • SCGP : ราคาพื้นฐาน 14.00 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อ SCGP จากแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่ดีขึ้น และคาดกำไร 1Q68 ที่ 779 ล้านบาท ปรับตัวดีจาก 4Q67 โดยปี 2568 คาดไม่มีรายการพิเศษขนาดใหญ่มารบกวนการฟื้นตัว ประเมินรายได้เติบโต 3-4% QoQ จากปริมาณขายที่ดีขึ้นโดยเฉพาะในไทย คาด 2Q68 จะได้ประโยชน์จากการเติมสต็อกสินค้าก่อน US reciprocal tariff บังคับใช้ใน 3Q68 สำหรับ Fajar คาดมีผลประกอบการดีขึ้นใน 2568 โดย 1Q68 น่าจะขาดทุนลดลงจาก 200 ล้านบาท และมีโอกาส EBITDA breakeven ใน 2Q68

  • AMATA : ราคาพื้นฐาน 31.00 บาท

เรามองการปรับตัวลดลงของราคาหุ้น AMATA ลงมาบริเวณ 12-14 บาท สะท้อน worst-case scenario ไปพอสมควร แม้ยังมีความไม่แน่นอนด้านสงครามการค้าที่อาจกระทบ demand ในการซื้อที่ดินของลูกค้าอุตสาหกรรม แต่ล่าสุดแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ มีทิศทางดีขึ้น คาดส่งผล sentiment เชิงบวกต่อ AMATA ได้ต่อเนื่อง เราคาดการณ์ downside จากราคาตลาดอยู่ที่ราว 10% โดยใช้ P/BV ระดับวิกฤตสองช่วงที่ผ่านมา คือ Hamburger crisis ที่ 0.6 เท่า และช่วง COVID ที่ P/BV ต่ำสุดที่ 0.7 เท่า จะได้ราคา worst case อยู่ที่ประมาณ 12.60-14.75 บาทต่อหุ้น

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันพฤหัสฯ ติดตามรายงานของกระทรวงพาณิชย์ไทยในตัวเลขส่งออก (TH Export) เดือน มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +10.7% YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ +14.0% YoY และตัวเลขนำเข้าเดือน (TH Import) มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +3.6% YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ +4.0% YoY  ต่อด้วยยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ (US Durable Goods Orders) เดือน มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +1.5% MoM เร่งตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ +1.0% MoM ต่อด้วยรายงานยอดขายบ้านมือสอง (Existing Home Sales) เดือน มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 4.14 ล้านหลัง ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.26 ล้านหลัง
  • วันศุกร์ ติดตามอัตราเงินเฟ้อในกรุงโตเกียว เดือน เม.ย. ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะเร่งตัวขึ้นไปที่ 3.2% YoY จาก 2.4% ในเดือนก่อนหน้า ต่อด้วยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ Michigan Consumer Sentiment ที่ตลาดคาดจะว่าลดลงเหลือ 50.6 จุด จาก 50.8 ในการรายงานรอบ Preliminary
- Advertisement -