Daily Focus: Sentiment บวกจากต่างประเทศยังคงหนุน SET ฟื้นตัวระยะสั้น

2025 SET Target: 1180

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ชะลอตัวลง หลังจากปรับตัวขึ้นวันก่อนหน้า ดัชนีปิดลบ 6.91 จุด ที่ระดับ 1,146.86 จุด โดยยังคงไม่ผ่านแนวด้านหลักบริเวณ 1,157-1,160 จุด ขณะที่มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นขึ้นเป็น 4.1 หมื่นลบ. กลุ่มที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่ง ได้แก่ อาหาร ธนาคาร ขณะที่กลุ่มที่ถ่วงคือ ขนส่ง ท่องเที่ยว การแพทย์ พลังงาน ปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นบางๆ 258 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่องอีก 2.1 พันลบ. (แต่ Long Index Futures เล็กน้อย 3.4 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways Up โดยยังคงมีแนวต้านหลักรอทดสอบที่ 1,157-1,160 จุด ตลาดได้แรงหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลัง Alphabet ประกาศกำไรออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ประธาน FED หลายสาขายังออกมาสนับสนุนการลดดอกเบี้ย หากเริ่มเห็นผลกระทบต่อภาคแรงงานชัดขึ้น โดยตลาดคาดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นในการประชุมเดือน มิ.ย. ภาพรวมจึงทำให้บรรยากาศการลงทุนผ่อนคลายขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ตลาดหลังจับตาพัฒนาการด้านการค้าของสหรัฐฯ-จีน แม้จะยังมีความไม่ชัดเจน เนื่องจากสหรัฐฯ ระบุว่าการเจรจาเริ่มต้นขึ้นแล้ว ขณะที่ฝั่งจีนกล่าวว่ายังไม่ได้มีการพูดคุย โดยจีนเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกการเก็บภาษีสินค้า 145% ออกจึงจะเดินหน้าเจรจา อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคาดหวังเชิงบวกต่อโอกาสที่จะบรรลุข้อตกลงทางการค้าทั้งสองฝ่าย และทำให้อัตราภาษีลดลงจากปัจจุบันอย่างมีนัยยะ ส่วนปัจจัยในประเทศวานนี้ตัวเลขส่งออกเดือน มี.ค. ออกมาดีกว่าคาดมาก +17%У-У โดยเป็นการเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การเติบโตกระจุกตัวในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ขณะที่สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรยังหดตัว ปัจจัยที่ต้องติดตามสัปดาห์หน้าคือการประชุมกนง.วันพุธ ซึ่งคาดว่ามีโอกาสที่จะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยลงจากปัจจุบันที่ 2% จากโมเมนตัมเศรษฐกิจที่แผ่วและความเสี่ยงจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดย GDP ไทยปี 2025 มีแนวโน้มโตต่ำกว่า 2% ขณะที่การประกาศกำไร 1Q25 ของฝั่ง Real Sector จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยว่าจะต่ำกว่าคาดจนนำไปสู่การปรับลดประมาณการ EPS ของตลาดลงเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่อยู่ราว 91.50 บาทมากน้อยเพียงใด เรายังมองกลุ่ม Consumer Staple จะยังแข็งแรงกว่าตลาด ส่วนระยะสั้นหุ้นที่มีกำไร 1Q25 แข็งแกร่งและดีต่อเนื่องใน 2Q25-2H25 คาดว่าจะเป็นเป้าในการเก็งกำไร

กลยุทธ์ : ยังเน้น Selective Buy หุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 1Q25-2025 แข็งแกร่ง และกระทบจำกัดจากภาษีการค้าสหรัฐฯ และเศรษฐกิจชะลอตัว

หุ้นเด่นเดือน เม.ย. : BA, BBL, CPF, HMPRO, OSP

FSSIA Portfolio: BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR

หุ้นเด่น Finansia 25 เม.ย. 25 : OSP

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 24 บาท
  • แนวโน้มกำไร 1Q25 ดูดีกว่าที่เคยคาดถึง 25% และทำ New High โดยคาดกำไรปกติ 1 พันลบ. +62% q-q, +20% y-y หนุนจาก Gross Margin ที่มีแนวโน้มดีกว่าคาดและทำ New High ถึง 40% ขณะที่กำไรสุทธิคาดที่ 1.2 พันลบ. โดยมีกำไรพิเศษจากการขายโรงแก้วหนุน
  • เรามองกำไร 1Q25 อาจเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี ขณะที่ 2Q25 คาดชะลอตัวลง q-q แต่จะยังคงอยู่ในระดับที่ดีราว 700-800 ลบ.ต่อไตรมาส โดยต้องติดตาม Market Share และรายได้ของฝาเหลือง 10 บาทเป็นหลัก เรายังคาดกำไรปกติทั้งปี 2025 อย่าง Conservative ที่ 3 พันลบ. ทรงตัว y-y
  • แนวรับ 15//14.50 บาท แนวต้าน 16-16.20 บาท

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติพลิกมาไหลออกจากภูมิภาคสุทธิ US$229 ล้าน เม็ดเงินพลิกมาไหลออกจากไต้หวัน US$163 ล้าน ส่วนเกาหลีใต้ทรงตัว ขณะที่ฝั่งอาเซียนเม็ดเงินยังคงไหลจากไทยและอินโดนีเซีย US$63 ล้านและ US$31 ล้าน ตามลำดับ แต่ไหลเข้าเวียดนาม US$22 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ามีโอกาสพลิกมาไหลเข้า โดยเฉพาะไต้หวันและเกาหลีใต้ หลังกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นโดดเด่นประเด็นสำคัญวันนี้

(+) ส่งออกไทยเดือน มี.ค. ดีกว่าคาด มูลค่าส่งออกเดือน มี.ค. +17.8% y-y สูงกว่าตลาดคาดไว้ที่ +13% y-y และมูลค่าการนำเข้า +10.2% y-y สูงกว่าตลาดคาดไว้ที่ +6.4% y-y ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าในเดือน มี.ค. ราว US$1 พันล้าน สำหรับมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเดือน มี.ค. -3.1% y-y กลับมาหดตัวในรอบ 9 เดือน หดตัวทั้งสินค้าเกษตร -0.5% y-y และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร -5.7% y-y

(+) TFG คาดกำไรสุทธิ 1Q25 จะทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 1.8 พันลบ. +112% q-q, +10 เท่า y-y ดีกว่าที่เราเคยคาด 50% จากราคาเนื้อสัตว์ที่ดีทั้งราคาหมูไทยและราคาหมูเวียดนามปรับขึ้น ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบปรับลง แนวโน้มกำไร 2Q25 ก็ยังดีต่อเนื่อง เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ขึ้น 24% เป็น +65% y-y และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 6.50 บาท แนะนำ “ซื้อ”

(+) WHA คาดยอดโอนที่ดินใน 1Q25 สูงถึง 850 ไร่ หนุนกำไรสูงแตะ 1.6 พันลบ. +14% q-q, +19% y-y แม้กำไร 1Q25 ที่คาดจะคิดเป็น 32% ของกำไรทั้งปี 2025 สำหรับยอดขายที่ดินปี 2025 ไม่น่าห่วงแม้มีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก เราคงประมาณการกำไรปี 2025 +12% y-y ราคาเป้าหมาย 5.40 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

(+) ERW คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 338 ลบ. +18% y-y ได้แรงหนุนจาก RevPAR ของ non-Hop Inn ที่คาดโต 4-6% y-y คาดรายได้จากโรงแรม Hop Inn เติบโต 27-29% Y-y และ EBITDA margin เพิ่มขึ้น แนวโน้ม RevPAR 2Q25 น่าจะลดลง 5-10% y-y จากผลกระทบแผ่นดินไหว เราปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2026-27 เล็กน้อยเพื่อสะท้อนนักท่องเที่ยวจีนที่ชะลอตัว ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 4.60 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(0) GPSC คาดกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 1 พันลบ. +8.5%, +25.5% y-y หนุนจาก margin ในธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ที่ปรับตัวดีขึ้น และผลขาดทุนจากถ่านหินคงคลังที่ลดลงของ GHECO-1 คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ที่ 3.7 พัน ลบ. -8.6% y-y ซึ่งสะท้อนค่า Ft ที่คาด ว่าจะลดลงเป็นหลัก ราคาเป้าหมาย 30 บาท คงคำแนะนำ “ถือ”

(0) SCGD รายงานกำไรปกติ 217 ลบ. +22% q-q, -16% y-y ต่ำกว่าที่เราคาดไว้ที่ 233 ลบ.จากรายได้อื่นน้อยกว่าคาด การลดลง Y-Y มาจากยอดขายหดตัว กำไร 1Q25 คิดเป็น 22% ของประมาณการกำไรปกติทั้งปีที่ 973 ลบ. +7% y-y แนวโน้ม 2Q25 คาดยังไม่เด่น คงราคาเป้าหมาย 5.60 บาท แนะนำ “ถือ”

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 486.83 จุด หรือ +1.23%, ปิดที่ 40,093.40 จุด โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ขานรับความแข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะเดียวกันนักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และหาสัญญาณบ่งชี้ความคืบหน้าด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ

(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์และวัสดุ ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ พร้อมจับตานโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

(+) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกตามทิศทางตลาดสหรัฐฯ ขานรับการรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่บริเวณ 33.42 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ

-0.43%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 52 เซนต์ หรือ 0.84% ปิดที่ 62.79 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ความเป็นไปได้ที่กลุ่มโอเปกพลัสจะเพิ่มการผลิตน้ำมัน และการส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยกดดันตลาดในระหว่างวัน ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 62.81 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.03%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 54.50 ดอลลาร์ หรือ 1.65% ปิดที่ 3,348.60 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อหลังจากราคาทองคำร่วงลงกว่า 3% ในวันพุธ ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด หลังจากคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันในเรื่อง ดังกล่าว ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 3,364.50 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 0.47%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 948.56/ -0.06%

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

25 เม..

อังกฤษ: ค้าปลีก (มี..)

29 เม.

สหรัฐ: JOLTs Job Openings (มี..)

30 เม.

ไทย: ประชุมกนง.

สหรัฐ: Core PCE price Index (มี..), 1Q25 GDP growth

จีน: NBS Manufacturing PMI (เม..)

ยูโรโซน: 1Q25 GDP growth

1 .

ญี่ปุ่น: ประชุม BoJ

สหรัฐ: ISM Manufacturing PMI (เม..)

 

- Advertisement -