KS Daily View 08.05.2024 >>> ตลาดรอปัจจัยใหม่ คาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบ SET ซื้อขายในกรอบ 1,370-1,380 แนะนำ MTC, AAI

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ: ประเมินดัชนีวันนี้อาจพักตัวในกรอบ 1,370-1,380 จุด มองแนวโน้มระยะสั้นตลาดอาจบวกลบไม่มากรอปัจจัยใหม่ ขณะที่แนวโน้มหลักเชื่อเป็นภาพของการฟื้นตัวกลับมาเทรดในกรอบเดิม 1,360–1,400 จุด สนับสนุนทั้งจากเรื่อง bond yield ที่ปรับลดลง และค่าเงินดอลลาร์ที่พลิกอ่อนค่าช่วยหนุนฟันด์โฟลว์ไหลมาตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย หุ้นกลุ่มที่มองไปต่อได้จากกระแสนี้คือกลุ่มการเงิน (Finance), โรงไฟฟ้า (Utilities), ท่องเที่ยว (Tourism) และ กลุ่มที่ผลประกอบการออกมาแข็งแกร่งดีกว่าคาด ทั้งนี้หากมองไปไกลกว่านั้นว่าจะทะลุกรอบระดับ 1,400 จุด ไปได้ไหมหรือจะกลับไปทดสอบแนวรับด้านล่าง 1,330 จุด มองขึ้นอยู่กับข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน เม.ย. และบันทึกการประชุม FOMC ของ Fed ที่จะเผยแพร่ในวันที่ 15 และ 23 พ.ค. นี้ โดยเรามองทิศทางตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯและประเด็นการพูดถึงแนวโน้มเงินเฟ้อในที่ประชุม FOMC จะเป็นปัจจัยหลักที่จะกำหนดทิศทางตลาดและฟันด์โฟลว์ในระยะถัดไป ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวอาจยังทำให้ตลาดมีความผันผวน

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1.ติดตามสถานการณ์ในตะวันออกลางหลังจากกลุ่มฮามาสยอมรับข้อเสนอการหยุดยิงแลกกับการปล่อยตัวประกันอิสราเอล 33 คน ขณะที่ฝั่งอิสราเอลได้เข้าทำการยึดพื้นที่ในเมืองราฟาห์

2.ครม. มีมติขยายเวลาการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ อินเดียและไต้หวัน ออกไปอีก 6 เดือน ถึงวันที่ 11 พ.ย. 2024 โดยสามารถอยู่ในประเทศไทยได้ไม่เกิน 30 วัน โดยในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมานักท่องเที่ยวอินเดียอยู่ที่อันดับ 5 หรือคิดเป็น 5.3% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเข้าไทย มองเป็นบวกกับกลุ่มท่องเที่ยว

3.ครม.อนุมัติตรึงราคาดีเซล 33 บาท/ลิตรใรกรอบระยะเวลา 20 เม.ย.-31 ก.ค. 2024 และให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า 19.05 สตางค์/หน่วยแก่ผู้ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วย ในช่วง พ.ค.-ส.ค. 2024 โดยมองว่าหากราคาน้ำมันดิบโลกมีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วอาจส่งผลให้รัฐออกมาตรการเพิ่มเติมที่อาจกดดัน marketing margin ที่กระทบกับ retail oil operators ขณะที่การให้ส่วนลดค่าค่าไฟฟ้าไม่ได้มีผลกระทบกับกลุ่มโรงไฟฟ้า

4.เครดิตบูโร เปิดเผยข้อมูลหนี้บัตรเครดิต โดยหนี้ที่กำลังจะเสีย (SM) ใน 1Q24 มีการเติบโต 20.6% QoQ และ 32.4% YoY ขณะที่ตัวเลข NPLs มีการเติบโต 14.6% YoY หลังเริ่มมีการใช้มาตรกาชำระหนี้ขั้นต่ำของบัตรเครดิตจะต้องเริ่มต้นที่ 8% ในต้นปีที่ผ่านมา

5.นายพิชัย ชุณหวชิร รมว.คลัง ให้ความเห็นถึงแผนพิจารณาดึงกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กลับมาเพื่อกระตุ้นตลาดหุ้นให้คึกคัก มองหากมีการดึงกองทุน LTF กลับได้จะเป็นบวกกับตลาดหุ้นไทยจากกระแสเงินที่จะไหลกลับเข้าสู่ตลาด

6.กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจที่รายงานผลประกอบการวานนี้ AAI (ดีกว่าคาด 61%), SPRC (ดีกว่าคาด 28%), BCPG (ดีกว่าคาด 24%), DCC (ดีกว่าคาด 24%), TIDLOR (ดีกว่าคาด 10%), MTC (ดีกว่าคาด 7%), DOHOME (ต่ำคาด 3%), AP (ตาดคาด)

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

MTC: ราคาพื้นฐานที่ 52 บาท

บริษัทรายงานผลประกอบการแข็งแรงเติบโต 3% QoQ และ 30% YoY ดีกว่าที่เราคาด 7% จากการตั้งสำรองหนี้เสียที่น้อยกว่าคาด สอดคล้องกับ อัตราส่วนหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL ratio) ไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 3.0% ลดลงจาก 3.1% ในไตรมาส 4/2566 2566 จาก NPL ของสินเชื่อเช่าซื้อที่ลดลง มองไปข้างหน้า คาดว่ากำไรไตรมาส 2/2567 จะเติบโตต่อทั้ง QoQ และ YoY หนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่งจากการขยายสาขา อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ควบคุมได้และ credit cost ที่ลดลง รวมถึงขาดทุนจากการขายรถยึดคืนในไตรมาส 2/2567 ที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น ขณะที่ภาพทั้งปีเราประเมินผลประกอบการเติบโตดี 17% ปีนี้และ 23% ในปีหน้า

AAI: ราคาพื้นฐาน 5.9 บาท

บริษัทรายงานผลประกอบการ ไตรมาส 1/2567 ที่ 242 ลบ. โตแรง 45% QoQ และ 238% YoY ดีกว่าที่เราคาดถึง 61% ผสมผสานทั้ง FX gain และ core operating profits ที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้หากพิจารณาเพียงแค่ core operating profits หรือผลประกอบหลักก็ขยายตัวสูงแตะ 221 ลบ. โต 41% QoQ และ 394% YoY ดีกว่าคาด 38% ด้วยผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาดมากส่งผลให้เราต้องปรับคาดการณ์กำไรขึ้น โดยประเมินการเติบโตสูงถึง 84% ปีนี้และต่อเนื่องอีก 18% ในปีหน้า

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันพุธ: ติดตามการรายงานดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมันในเดือนมี.ค. โดยตลาดคาดว่าจะออกมาหดตัวที่ -0.9% MoM จากเดือนก่อนหน้าที่ 2.10% MoM
  • วันพฤหัสฯ: ติดตามตัวเลขการส่งออกของจีนประจำเดือนเม.ย. โดยตลาดคาดว่าจะออกมาขยายตัวที่ 1.50% YoY จากเดือนก่อนหน้าที่หดตัว -7.50% YoY
  • วันศุกร์: ติดตามการรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนในเดือนพ.ค. โดยตลาดคาดว่าจะลดลงเหลือ 76.20 จุด จากเดือนก่อนหน้าที่ 77.20 จุด
- Advertisement -