SELIC โชว์งบ Q1/67 กำไรพุ่งปรี๊ด 563% ชูธุรกิจสติ๊กเกอร์ – Health Care ดันมาร์จิ้น
“บมจ.ซีลิค คอร์พ (SELIC)” โชว์ผลงาน Q1/67 กวาดกำไรสุทธิ 67.67 ลบ. พุ่งสูงถึง 563.3% รายได้ 561.65 ลบ. เติบโต 23.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและธุรกิจสติ๊กเกอร์มาร์จิ้นโตกระโดด ชูจุดเด่น กระจายความเสี่ยงธุรกิจที่หลากหลาย พร้อมเปิดโอกาสทั้งการร่วมทุน (JV) หรือซื้อกิจการ (M&A) เพื่อต่อยอดธุรกิจหลัก และขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ มั่นใจปี 67 ปั๊มรายได้และกำไรให้เติบโตตามเป้า ด้านบริษัทย่อย บมจ.พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC) อยู่ระหว่างแผนการเสนอขาย IPO สนับสนุนโอกาสในอนาคต
นายณรงค์ สุวัฒนพิมพ์ รองประธานกรรมการ และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย รวมทั้งวิจัยและพัฒนากาวอุตสาหกรรมที่ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม (Specialty and High Performance Adhesive) เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 1 ของปี 2567 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จ มีกำไรสุทธิ 67.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.4% จากไตรมาสก่อน และพุ่งสูงถึง 563.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากกลยุทธ์การกระจายของกลุ่มธุรกิจ และการเติบโตของธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูงหนุนผลงานก้าวกระโดด
ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 561.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 23.5% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ โดยเป็นผลจากกิจกรรมทางการตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์บรรเทาปวด การทำตลาดสินค้าในกลุ่มประเทศ CLMV และจากการออกจำหน่ายสินค้าใหม่ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ปฐมพยาบาล อีกทั้งเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูง รวมถึงการเติบโตของธุรกิจสติ๊กเกอร์ ที่สามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับที่ดีขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ธุรกิจกาวอุตสาหกรรมตลาดในประเทศยังคงทรงตัว และยังมีความไม่แน่นอนของคำสั่งซื้อจากตลาดต่างประเทศ เช่น เอเชียใต้ และ แอฟริกา แต่คาดว่าจะทยอยฟื้นตัวในปีนี้ โดยบริษัทจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
“SELIC มีกลุ่มธุรกิจที่หลากหลายและครอบคลุมทั้งแบบ B2B และ B2C รวมถึงสัดส่วนของกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศในสัดส่วนที่พอเหมาะ ทำให้สามารถปรับตัวในการดำเนินธุรกิจภายใต้สภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนได้อย่างเหมาะสม สามารถสร้างยอดขายที่เติบโตขึ้นผ่านผลการดำเนินงานของกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เจาะเทรนด์ Health Care และธุรกิจสติ๊กเกอร์ สนับสนุน กำไรขั้นต้น EBITDA และกำไรสุทธิ เติบโตมีนัยสำคัญ อีกทั้งมองโอกาสการเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 2/2567 พร้อมขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อวางรากฐานกำไรที่แข็งแกร่ง และตั้งเป้ารายได้ในปี 2567 คาดเติบโตในระดับสองหลัก (Double Digit Growth)” นายณรงค์ กล่าว
ทั้งนี้ SELIC ในไตรมาส 1/2567 มีรายได้และการขายจากบริการจากการดำเนินธุรกิจหลัก 3 ประเภท ได้แก่ 1.ธุรกิจกาวอุตสาหกรรม สัดส่วน 25% 2.ธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัว สัดส่วน 40% และ 3.ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ สัดส่วน 35% ซึ่งสัดส่วนการขายและบริการมาจากตลาดในประเทศ 70% และตลาดต่างประเทศ 30%
ก้าวต่อไปของ SELIC ในปี 2567 บริษัทฯ มุ่งเน้นสร้างการเติบโตของรายได้จากทุกกลุ่มธุรกิจ แม้ เศรษฐกิจไทยจะเดินหน้าแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยบริษัทฯ ได้รับสัญญาณการส่งออกที่ดีขึ้นในไตรมาสที่ 4/2566 จึงคาดว่าการส่งออกของธุรกิจกาวอุตสาหกรรมและธุรกิจสติ๊กเกอร์จะทยอยฟื้นตัวในปี 2567 ด้วยเช่นกัน โดยเดินหน้าขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้น และมุ่งขยายไปยังตลาดต่างประเทศที่เศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ในขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจะยังคงดำเนินกลยุทธ์เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ผ่านกิจกรรมทางการตลาดและการขายในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าสูงสุด
นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการบริหารจัดการต้นทุนภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านกระบวนการทาง supply chain พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจ โดยมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่สามารถต่อยอดไปกับธุรกิจหลักได้ ภายใต้การพิจารณาถึงผลประโยชน์ที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับ เพื่อสนับสนุนให้บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้และกำไรได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลก เพื่อช่วยผลักดันด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างครอบคลุมทุกมิติ
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ บมจ.พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์หรือฉลากกาวรายใหญ่ของประเทศ และเป็นบริษัทย่อยของ SELIC ได้ยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 115,715,000 หุ้น คิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลัง IPO โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (Par value) 1.00 บาทต่อหุ้น คาดเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตามแผน เพื่อสนับสนุนกลุ่มบริษัทมีฐานทุนที่แข็งแกร่ง และสนับสนุนให้ PMC มีความพร้อมสูงในการเติบโต ก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่า (Sticker Label) ในภูมิภาคอาเซียน