นายภณภัทร เมฆาสุวรรณดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ IROYAL

‘บมจ. อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง’ เตรียมขาย IPO หลัง ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง ปักธงสู่ผู้นำทางธุรกิจด้านโซลูชั่นพลังงานไฟฟ้าที่เติบโตไปด้วยการนำเสนอนวัตกรรมในพลังงานสู่อนาคต

‘บมจ. อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง’ หรือ IROYAL ผู้ให้บริการด้านวิศวกรรม เพื่อจัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งกลุ่มบริษัทมีความเชี่ยวชาญในการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในระบบการผลิตของโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมจากผู้ผลิตชั้นนำระดับสากล โดยครอบคลุมถึงงานบริการติดตั้งและซ่อมบำรุง ด้วยการออกแบบ ให้คำปรึกษา และนำเสนอโซลูชั่น เพื่อตอบสนองตามความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการบริหารสินค้าคงคลังในส่วนที่กลุ่มบริษัทจัดหาและจำหน่าย เตรียมเสนอขาย IPO ไม่เกิน 58 ล้านหุ้น หลังสำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่ง พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เพื่อขับเคลื่อนสู่ธุรกิจที่สร้างความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นายภณภัทร เมฆาสุวรรณดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ IROYAL เปิดเผยว่า การเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการรุกขยายธุรกิจ เนื่องจากในปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้านั้นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประชาชนสามารถอยู่อาศัยและสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีต่างๆ ได้ ดังนั้น การบำรุงรักษาเครื่องจักรเพื่อเพิ่มเสถียรภาพและความปลอดภัยในระบบการผลิต รวมถึงความพร้อมใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ จึงเป็นส่วนสำคัญ ยิ่งที่ต้องมีงานบริการด้านวิศวกรรมโรงไฟฟ้าจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการชำรุดหรือเสียหาย (Breakdown) ที่อาจส่งผลต่อกระบวนการผลิต ซึ่งการให้บริการประเภทนี้ ต้องอาศัยองค์ความรู้ ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ขั้นสูง และระบบการผลิตในอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน โดยบริษัทฯ มีความสามารถด้านการบริการให้คำปรึกษา จัดหา และติดตั้งผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเฉพาะ (Customized) ให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละราย โดยกลุ่มบริษัทฯ ไม่เพียงแต่ให้บริการจัดหาและติดตั้งผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าเท่านั้น แต่ยังให้คำปรึกษาและจัดหาโซลูชั่นให้ลูกค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหาและข้อบกพร่องต่างๆ รวมถึงสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของลูกค้าให้มีความยั่งยืนได้อีกด้วย

กลุ่มบริษัทฯ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจมากว่า 40 ปี สามารถใช้องค์ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการจนเป็นที่ยอมรับของลูกค้าที่เป็นองค์กรชั้นนำของประเทศ ส่งผลให้มีฐานลูกค้าที่สำคัญในกลุ่มลูกค้าประเภทอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในประเทศและต่างประเทศ อาทิ บจก. ไฟฟ้าหงสา (โรงไฟฟ้าหงสา สปป.ลาว), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), บมจ. ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) และ บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังสามารถจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ผ่านผู้ผลิตที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นนำที่ได้มาตรฐาน ผ่านการยอมรับในระดับสากลจากหลายแบรนด์ทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ เป็นต้น

กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ให้บริการจัดหาและจำหน่าย จะมุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุนกระบวนการผลิตหรือการทำงานให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงช่วยลดผลกระทบหรือแก้ปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมได้ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.) กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในระบบเผาไหม้ (Combustion System) 2.) กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในระบบจัดการของเสียและไอเสีย (Flue Gas Management System) 3.) กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในระบบแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchanger System) และ 4.) กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในระบบอื่นๆ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IROYAL กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ เตรียมพร้อมรุกขยายธุรกิจเพื่อก้าวสู่ผู้นำทางธุรกิจด้านโซลูชั่นพลังงานไฟฟ้าที่เติบโตไปด้วยการนำเสนอนวัตกรรมในพลังงานสู่อนาคต รวมถึงการจำหน่ายและบริการติดตั้งระบบวิศวกรรมที่สร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานไฟฟ้าและสาธารณูปโภค พร้อมมุ่งขับเคลื่อนสู่ธุรกิจที่สร้างความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบการบริหารควบคู่กับการพัฒนาบุคลากร เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า โดยมุ่งเน้นการดำเนินการตามเป้าหมายความยั่งยืนขององค์กรสหประชาชาติ (United Nations Sustainable Development Goals: SDGs) ภายใต้การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG พร้อมด้วยเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจผ่านแนวทาง Circular Economy (เศรษฐกิจหมุนเวียน) เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรโลกให้คงอยู่อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมพร้อมรับโอกาสการเติบโตผ่านการเข้าระดมทุนในครั้งนี้ และพร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุน และประชาชนทั่วไปได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการต่อยอดความสำเร็จของบริษัทฯ

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 280.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 139.68% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 116.98 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขาย 152.11 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 54.25% และรายได้จากการขายพร้อมติดตั้ง 126.92 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 45.27% โดยปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตมาจาก บริษัทฯ สามารถขยายยอดขายและการติดตั้งงานของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นได้ ด้านกำไรสุทธิทำได้ 72.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158.52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 27.94 ล้านบาท เหตุผลการเติบโตมาจากรายได้จากการขายและขายพร้อมติดตั้งที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว และการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ดีขึ้น

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนแรกปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 86.37 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขาย 61.13 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 70.77% และรายได้จากการขายพร้อมติดตั้ง 21.72 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25.15% ด้านกำไรสุทธิอยู่ที่ 33.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130.76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเหตุผลการเติบโตมาจากบริษัทมีรายได้ประจำจากอุปกรณ์และชิ้นส่วนวิศวกรรมที่ปรับแต่งเฉพาะให้ตรงความต้องการของลูกค้า ซึ่งช่วยแก้ปัญหาหลักของลูกค้าได้ตรงจุด เป็นผลให้สามารถสร้างอัตรากำไรที่สูงได้

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจากที่ บมจ. อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง หรือ IROYAL ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (แบบไฟลิ่ง) และแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้เริ่มนับหนึ่งไฟลิ่งแล้วเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2567 ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

ทั้งนี้ IROYAL มีทุนจดทะเบียน 115 ล้านบาท และทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 86 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 230 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 58 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25.22 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ฯ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการประมูลงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน รวมถึงไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกลุ่มบริษัทฯ

- Advertisement -