Daily Focus: Selective and ESG Play
2024 SET Target : 1470
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงในช่วงเช้าจากแรงขาย AOT ที่กดดัน อย่างไรก็ตาม หุ้นขนาดใหญ่อื่นมีแรงซื้อกลับค่อนข้างกระจายตัว หนุนให้ดัชนีฟื้นตัวขึ้นปิดบวก 10.32 จุด สิ้นวันที่ระดับ 1,316.73 จุด แข็งแกร่งกว่าภูมิภาคตามคาด อย่างไรก็ตามมูลค่าการซื้อขายยังไม่หนาแน่นนักที่ 3.8 หมื่นลบ. สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องอีก 496 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิเป็นวันที่ 23 แต่บางลงเหลือ 1.1 พันลบ. (สถานะสุทธิใน Equity Index Futures แต่ละกลุ่มไม่มีนัยยะ)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways to Sideways Up ในกรอบ 1,310-1,330 จุด และมีโอกาสกลับมาแข็งแกร่งกว่าภูมิภาคได้ต่อเนื่อง โดยตลาดฝั่งเอเชียตะวันออกถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตาม Nvidia ที่มีราคาหุ้นปรับตัวลงแรง รวมถึงภาพรวมต่างประเทศยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่ชัดเจนเข้ามากระตุ้น ส่วนปัจจัยที่หนุนตลาดหุ้นไทยในระยะนี้คือมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุนที่จะยกระดับการลงทุนในกองทุน TESG โดยปรับเพิ่มวงเงินลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีจาก 1 แสนบาทเป็น 3 แสนบาท และลดระยะเวลาถือครองลงจาก 8 ปีเหลือ 5 ปี รวมถึงขยาย Universe ในแง่จำนวนหุ้นในการเข้าลงทุน โดยรวมภาครัฐคาดหวังเห็นเม็ดเงินลงทุนราว 3 หมื่นลบ. ซึ่งเชื่อว่าอาจช่วยดัชนีได้ระดับ 75-80 จุด (ทุก 1 หมื่นลบ.จะกระทบ SET 25-27 จุด) รวมถึงมีแนวคิดจะนำกองทุนวายุภักษ์กลับมาเปิดขายให้ลงทุนอีกครั้ง ขณะที่ฝั่ง Downside ในเดือน ก.ค. เป็นต้นไปจะจำกัดมากขึ้นจากมาตรการ Uptick ที่จะมีผลบังคับใช้ โดยรวมจึงมองดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวระยะสั้น อย่างไรก็ตามปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองโดยเฉพาะคดีนายกฯจะยัง Overhang จนถึงครึ่งหลังของเดือน ก.ค.เป็นอย่างน้อยหากคำวินิจฉัย ซึ่งหากออกมาเป็นบวกคาดจะหนุนให้ดัชนีกลับไปโซนระดับ 1,360-1,400 ได้อีกครั้ง
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นเป็นรายตัวที่มีแนวโน้มเติบโตแกร่งกว่าตลาดและมี ESG Rating สูง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน มิ.ย.: CHG, CPALL, ITC, KCG, TFG
FSSIA Portfolio: AOT, BDMS, CPALL, CPN, GPSC, KCG, SHR, SJWD, TIDLOR, TU
หุ้นเด่น Finansia 25 มิ.ย. 24 : CPALL
– แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 79 บาท
– โมเมนตัมผลการดำเนินงาน 2Q24 คาดว่ายังสดใสจาก SSSG ทั้ง 7-Eleven Makro และ Lotus’s ที่ยังเป็นบวกได้ในเดือน เม.ย.-พ.ค. แข็งแกร่งกว่ากลุ่มค้าปลีกอื่นๆที่ส่วนใหญ่ติดลบ ขณะที่ Margin โดยเฉพาะในฝั่ง CVS คาดว่ายังทำได้ดีต่อเนื่อง เบื้องต้นจึงยังมีลุ้นกำไร 2Q24 จะเติบโต q-q และ y-y
– เราคาดกำไรปี 2024 ที่ 2.36 หมื่นลบ. +30% y-y กลับมาทำ New High ดีกว่าช่วงก่อนโควิด ปัจจุบันเทรด PER เพียง 21 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมีนัยยะ และเป็นหุ้นที่ได้ SET ESG Rating ระดับ AAA
– แนวรับ 54-53.50 บาท แนวต้าน 57-57.50//60-61 บาท
Fund Flow : วานนี้ระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคสุทธิเร่งตัวขึ้นเป็น US$2,059 ล้าน โดยกระจุกตัวที่ไต้หวันสูงสุด US$1,606 ล้าน รองลงมาคือเกาหลีใต้ US$377 ล้าน โดยถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตาม Nvidia ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินยังอยู่ในทิศทางไหลออกแต่ปริมาณเบาบางลง โดยไทยและเวียดนามยังไหลออกสูงสุดประเทศละ US$30-37 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่าจะยังอยู่ในทิศทางไหลออกลักษณะเดี่ยวกับช่วง 2 วันที่ผ่านมา โดยคาดเอเชียตะวันออกจะยังถูกกดดันหนักจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่อเนื่อง
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) กลุ่มธนาคาร คาดกำไรสุทธิ 2Q24 ของกลุ่มธนาคาร 7 แห่ง ที่ 5.3 หมื่นลบ. -3% q-q, +2%% y-y หลักๆ มาจากผลการดำเนิงานหลักชะลอตัว NIM ที่ลดลง ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่เร่งตัวขึ้น ขณะที่คาดการณ์สินเชื่อหดตัวเล็กน้อย q-q ทรงตัว y-y และกำไรจากเงินลงทุนที่ลดลง โดยคาดกำไรสุทธิของทุกธนาคารปรับลง ยกเว้น TTB กับ TISCO ที่จะปรับขึ้นเล็กน้อยนอกจากนี้ TTB จะมีผลการดำเนินงานที่ดีสุด และ SCB จะแย่สุดใน 2Q24 ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังเป็นที่กังวลแต่สามารถบริหารจัดการได้ โดยรวมกลุ่มธนาคารยังขาดปัจจัยบวกใหม่และคาดการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 2024 เพียง +1% y-y และปี 2025-26 เติบโต 5-6% y-y เรายังให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มธนาคารเป็น Underweight เลือก Top Pick เป็น TTB ราคาเป้าหมาย 2.19 บาท
(0) BBL คาดกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 1 หมื่นลบ. -1% q-q, -7% y-y โดยมีปัจจัยถ่วงสาคัญอยู่ที่ธุรกิจหลักที่อ่อนแอ ส่วนมากจากรายได้จากการดำเนินงานทั้ง NII และ Non-NII ที่ลดลง อย่างไรก็ดี เราไม่มีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ของ BBL ซึ่งอยู่ในระดับที่จัดการได้จากข้อได้เปรียบในด้าน Coverage ratio ที่อยู่ในระดับสูง เรายังคงคาดกำไรสุทธิปี 2024-26 เติบโต 3.7% CAGR แต่ลดราคาเป้าหมายปี 2024 ลงเหลือ 157 บาท เพื่อสะท้อนค่า COE ที่คาดว่าจะสูงขึ้น แนะนำ “ซื้อ”
(+) GFC คาดกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 20 ลบ. -31% q-q, +27% y-y ตามทิศทางรายได้จากปัจจัยฤดูกาล จำนวนรอบเก็บไข่อยู่ที่ 250 รอบ ลดลงจาก 267 รอบใน 1Q24 แต่เพิ่มขึ้นจาก 242 รอบใน 2Q23 ขณะที่ต้นทุนการให้บริการทรงตัวส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 48% จาก 50% ใน 1Q24 แต่ใกล้เคียงกับ 2Q23 เรายังมองบวกระยะกลาง-ยาวจากความต้องการทำ IVF ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตสูง คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024 ที่ 105 ลบ. +36% Y-Y ราคาเป้าหมาย 12บาท แนะนำ “ซื้อ”
(0) ตลท.ประกาศหุ้นเข้า-ออก SET50/SET100 งวด 2H24 สำหรับ SET50 หุ้นเข้า BCP BJC TIDLOR ITC หุ้นออก BANPU COM7 SAWAD KCE // ส่วน SET100 คาดหุ้นเข้า BA BJC CKP JAS MBK PRM QH SKY TIPH หุ้นออก AURA BYD FORTH MOSHI NEX ORI SNNP THG TKN
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 260.88 จุด หรือ +0.67% ปิดที่ 39,411.21 จุด โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อหุ้นที่ร่วงลงก่อนหน้านี้ รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ส่วนดัชนี Nasdag ดิ่งลงกว่า 1% เนื่องจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก นำโดยหุ้นกลุ่มรถยนต์และกลุ่มการเงินที่ปรับตัวขึ้นขณะที่นักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่การเลือกตั้งรัฐสภารอบแรกของฝรั่งเศสใน สัปดาห์นี้
(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก นำโดยกลุ่มธนาคารและพลังงาน
(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 36.64 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.31%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 90 เซนต์ หรือ 1.11% ปิดที่ 81.63ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากมุมมองที่ว่าอุปสงค์น้ำมันในฤดูการขับขี่ยานยนต์ในช่วงหน้าร้อนของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง รวมทั้งการคาดการณ์ว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกลาง และการที่ยูเครนส่งโดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันในรัสเซียจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาด ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 81.78 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.18%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 13.20 ดอลลาร์ หรือ 0.57% ปิดที่ 2,344.40 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยหนุนตลาดขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนี PCE ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มเงินเฟ้อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 2,342.40 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.09%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 829.05/ -0.35%