บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):

PTT Exploration and Production

วิสัยทัศน์ Energy Partner of Choice

Event

เรามอง Neutral หลังการประชุมนักวิเคราะห์ 3Q64

Impact

ตั้งเป้าจะลด carbon emission ลง 25% ภายในปี 2573F

PTTEP กำลังศึกษาเทคโนโลยีเกี่ยวกับ i) การดักจับและจัดเก็บ carbon (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) ซึ่งจะจัดเก็บก๊าซ CO2 ในหลุมชั้นใต้ดินที่ไม่ใช้แล้ว และ ii) การดักจับและใช้ประโยชน์จาก carbon (Carbon Capture and Utilization หรือ CCU) ซึ่งจะเปลี่ยนสภาพ CO2 ให้อยู่ในรูปแบบอื่นอย่าง เช่น carbon nanotube หรือ methanol เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 25% ภายในปี 2573 สำหรับโครงการ green field การลงทุนใน CCS จะถูกคำนวณเข้าไปอยู่ในต้นทุนโครงการตั้งแต่ต้น และจะสะท้อนอยู่ในราคาขายก๊าซด้วย ส่วนโครงการ brown field บริษัทจะพิจารณาตามนโยบายของแต่ละประเทศ อย่างเช่นนโยบาย carbon offset หรือการเก็บภาษี carbon ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในโครงการ CCS ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ในขณะเดียวกัน PTTEP มีแผนจะใช้เทคโนโลยี CCS ในโครงการอาทิตย์ และ Lang Lebah (หรือ SK410B) ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในปี 2565

มีแผนจะเพิ่มสัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจ non-E&P ให้เกิน 20% ภายในปี 2573F

สำหรับธุรกิจ non-E&P นั้น PTTEP จะเน้นในด้าน i) artificial intelligence (AI) และหุ่นยนต์, ii) โรงไฟฟ้า gas-to-plower และ iii) พลังงานหมุนเวียน อย่างเช่น solar farms และ wind farms โดยในเดือนกันยายน AI and Robotics Ventures (ARV) ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ PTTEP ถือหุ้น 100% ได้ตั้งบริษัทลูกขึ้นมาสี่บริษัท ประกอบด้วย ROVULA, VARUNA, SKYLLER และ CARIVA โดย ROVULA จะเน้นไปที่เทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ขั้นสูงเพื่อให้บริการตรวจสอบ, ซ่อมแซม และซ่อมบำรุงในทะเล และใต้ทะเลแบบครบวงจรสำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซสำหรับ VARUNA จะใช้เทคโนโลยี AI ดาวเทียมและอากาศยานไร้คนขับ (unmanned aerial vehicles หรือ UAV) เพื่อให้บริการโซลูชั่นสำหรับ smart-farming และ smart forestry สำหรับอุตสาหกรรมการเกษตรส่วน SKYLLER จะให้บริการตรวจสอบและบริหารจัดการทรัพย์สินแบบครบวงจร โดยใช้โดรน, หุ่นยนต์และแพลตฟอร์ม AI แก่เจ้าของสินทรัพย์ในอุตสาหกรรม ในขณะที่ CARIVA จะเป็นโครงข่ายข้อมูลด้านสุขภาพซึ่งจะใช้เทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ในการสร้างและใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกด้านสุขภาพ นอกจากนี้ PTTEP ยังตั้ง บริษัทลูกด้านไฟฟ้าขึ้นมาอีกสองแห่ง ได้แก่ i) Asia Power and Transportation SG Holding เพื่อลงทุนในโครงการ gas-to-power และ ii) FutureTech Energy Ventures เพื่อลงทุนในโครงการ Solar farms และ wind farms

การผลิตก๊าซในปัจจุบันจากโครงการเอราวัณต่ำกว่าที่ตกลงกันไว้

ในเดือนตุลาคมโครงการเอราวัณซึ่งดำเนินการโดย Chevron ส่งมอบก๊าซในปริมาณที่ต่ำกว่าที่ตกลงไว้กับผู้ซื้อ ได้แก่ PTT Pel. (PTT.BK/PTT TB)* ซึ่งหมายความว่าเมื่อ Chevron ออกจากโครงการนี้ในเดือนเมษายน 2565 ปริมาณก๊าซที่ผลิตได้จากแหล่งเอราวัณอาจจะต่ำกว่า 500-560mmscfd ซึ่ง PTTEP คาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ในขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการหารือกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากขึ้นภายในสิ้นปีนี้ ในขณะเดียวกัน PTTEP มีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็นพิเศษอีกประมาณ 240mmscfd จากโครงการบงกชเพื่อชดเชยผลผลิตที่ขาดไปของโครงการเอราวัณภายใต้สัญญา Production Sharing Contract (PSC) ฉบับใหม่ที่จะเริ่มมีผลในเดือนเมษายน 2565 นอกจากนี้ บริษัทยังจะเพิ่มการผลิตในโครงการอาทิตย์และ JDA เพื่อชดเชยผลผลิตที่ยังขาดอยู่อีกด้วย

Valuation & action

เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ และคงราคาเป้าหมาย DCF ปี 2565 เอาไว้ที่ 145.00 บาท โดยใช้ WACC ที่ 9.1% และ terminal growth ที่ 1.0%

Risks ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบและราคาก๊าซ

- Advertisement -