ปัจจัยในประเทศ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ธปท. รายงานตัวเลขเศรษฐกิจรายเดือน (เดือน 9) ภาพรวมเศรษฐกิจในเดือน ก.ย. 2564 ดีขึ้น และ ฟื้นตัวต่อเนื่อง อิงจาก PII (+6% YoY) MPI (+7%) การส่งออก (+18%) ปัจจัยบวกหลักๆมาจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และพื้นที่แคมป์ก่อสร้าง

กสิกรไทยจึงเห็นควร ปรับเพิ่ม GDP ปี 2564 เป็น +0.2% YoY จากเดิม -0.5% YoY จาก 1) สถานการณ์โควิด-19 ที่ดีกว่าคาด และ 2) เปิดประเทศในเดือน พ.ย. / ยังคงระดับเงินเฟ้อ ปี 2564 ไว้ที่ +1.2% จากราคาผู้บริโภคที่อ่อนแอในด้านอื่นๆ เช่น อาหาร/อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่โดนกดดันจากราคาค่าน้ำและค่าไฟฟ้าสาธารณูปโภค และ เรามองว่าตลาดน่าจะให้ความสำคัญกับ GDP ปีหน้า มากกว่า โดยเราคาดอยู่ที่ +3.7% YoY จาก นทท.ต่างชาติและการใช้จ่ายในประเทศที่กลับมาช่วยเศรษฐกิจไทย ปัจจัยเสี่ยง 1) โควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าพลัส 2) การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากคู่แข่งไทย

ปัจจัยต่างประเทศ ติดตามการประชุม FED พุธนี้ เราคาดว่าการทำ QE Tapering เป็นสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นตามที่ทางเราและตลาดคาด จุดที่น่าสนใจคือ 1) ความกังวลเงินเฟ้อ 2) การปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต และ 3) โทนความ Hawkish / Dovish รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างตัวเลข ISM Non-manufacturing PMI ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. / การประชุมกลุ่ม OPEC+ / ตัวเลข Non-farm payrolls ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. คาด 4.13 แสนตำแหน่ง , ตัวเลข Unemployment rate ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. คาด 4.7% และตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. คาด +0.4% MoM

ในส่วนของเรื่องเงินเฟ้อที่หลักๆมาจากเรื่องของราคาพลังงาน ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น 20% ในช่วงที่ผ่านมา เราเห็นว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะฉุดให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของผู้เล่นในกลุ่มAnti-oilลดลง เราได้วิเคราะห์ความอ่อนไหวต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ของเราจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่อยู่ที่ 76 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล (เทียบกับสมมติฐานปัจจุบันของเราที่ 66 ดอลลาร์ฯ) และพบว่ากำไรสุทธิปี 2565 ของกลุ่มขนส่ง ผู้รับเหมา ธุรกิจเกษตรและอาหาร พาณิชย์และสาธารณูปโภคจะได้รับผลกระทบที่ -12% -9% -5% -3% และ -2% ตามลำดับ

เราเชื่อว่าราคาหุ้นของกลุ่มAnti-oilที่ปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนผลกระทบเชิงลบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในปี 2565 แล้ว ดังนั้น ราคาหุ้นของผู้เล่นในกลุ่ม Anti-oil จะฟื้นตัวขึ้นหากราคาน้ำมันปรับลดลง ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง ได้แก่ 1) ข้อตกลงเรื่องปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEX+ 2) การพูดคุยเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่าน 3) ราคาถ่านหินและก๊าซและ 4) การเปิดเศรษฐกิจและปริมาณจราจรทางอากาศที่ฟื้นตัวขึ้น

มุมมองตลาดหุ้น วันนี้คาด SET 1610 +/- รอการประชุม FED

Top picks. ADVANC (ราคาพื้นฐาน 207.24 บาท) กำไรปกติไตรมาส 3/64 อยู่ที่ 6.7 พันลบ. (+0.5% YoY และ -0.5% QoQ) ดีกว่าที่เราคาดไว้ 1% กำไร 9 เดือนแรกปีนี้คิดเป็น 76.6% ของประมาณการทั้งปีของเรา / โอกาสจ่ายเงินปันผลสูงขึ้นจาก 1) Upside ต่อเป้าผลดำเนินงานของบริษัทฯ จากการเปิดเศรษฐกิจ 2) Downside risk ต่อ capex และ 3) ข้อเรียกร้องของ GULF

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ วันอังคาร ติดตาม ตัวเลข Markit PMI ภาคการผลิตของเยอรมันเดือน ต.ค. คาด 58.2 จุด ทรงตัว MoM วันพุธ ติดตาม ตัวเลข Caixin PMI ภาคบริการของจีนเดือน ต.ค. คาด 53 จุด (-0.7% MoM) ตัวเลข Unemployment rate ของยูโรโซน เดือน ก.ย. คาด 7.4% (ลดลง 10bps.) ตัวเลข ISM Non-manufacturing PMI ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. คาด 62.1 จุด (+0.3% MoM) การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ และตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. วันพฤหัสฯ ติดตาม ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยเดือน ต.ค. ตัวเลข Markit Services PMI ของยูโรโซนเดือน ต.ค. คาด 52.4 จุด (-3.0% MoM) ตัวเลข PPI ยูโรโซน เดือน ก.ย. คาด +1.9% MoM และ +15.2% YoY การประชุมธนาคารกลางของอังกฤษและการประชุมกลุ่ม OPEC+ คาดคงแผนเพิ่มกำลังการผลิตที่ 400KBD ต่อเดือนตามเดิม วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลข CPI และ Core CPI ของไทยเดือน ต.ค. ตัวเลข Retail sales ยูโรโซนเดือน ก.ย. คาด +0.2% MoM และ +1.5% YoY ตัวเลข Non-farm payrolls ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. คาด 4.13 แสนตำแหน่ง ตัวเลข Unemployment rate ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. คาด 4.7% และตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. คาด +0.4% MoM

- Advertisement -