Daily Focus: Selective and Earnings Play
2024 SET Target : 1470
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัว Sideways ก่อนเผชิญแรงขายูกดดันช่วงบ่าย กดดัชนีปิดลบ 6.12 จุด ที่ระดับ 1,321.31 จุด หลุดต่ำกว่าแนวรับสำคัญระยะสั้น 1,325 จุด มูลค่าการซื้อขาย 3.6 หมื่นลบ. กลุ่มใหญ่ที่ถ่วงตลาด คือ พลังงาน ปีโตรเคมี ค้าปลีก ขนส่ง สื่อสารฯ ส่วนกลุ่มที่ประคองตลาด คือ อิเล็กทรอนิกส์ ธนาคาร ท่องเที่ยว Reit สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องอีก 1.4 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิบางๆ 68 ลบ. (และ Short Index Futures อีกเล็กน้อย 1.3 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่ง Sideways ในกรอบ 1,315-1,328 จุด โดยคาดกลุ่มพลังงานจะยังถ่วงตลาด ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง แม้จะมี Sentiment บวกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ยังปรับตัวขึ้น หลังตัวเลขยอดค้าปลีกเดือน มิ.ย. ออกมาดีกว่าคาด และตลาดยังคงคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของ FED ที่คาดจะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. และอาจลดได้ถึง 2-3 ครั้งปีนี้ โดยยังเป็นเม็ดเงิน Rotate จากกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่กระจายไปยังหุ้นขนาดกลาง-เล็กอื่นๆ ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ ติดตามศาลรัฐธรมนูญพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกลต่อว่าจะนัดพิจารณาครั้งถัดไป หรือนัดฟังคำวินิจฉัยเมื่อใด ขณะที่สภาฯ จะมีการพิจารณางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 67 วงเงิน 1.2 แสนลบ. สำหรับโครงการ Digital Wallet ส่วนงบประมาณปี 68 จะพิจารณาวาระ 2-3 ในเดือน ส.ค. ภาพรวมการฟื้นตัวของดัชนีระยะสั้นจะยังจำกัด จนกว่าคดีตำแหน่งนายกฯของคุณเศรษฐาจะมีคำวินิจฉัย โดยหากผลออกมาในเชิงบวกจะทำให้ Upside ระยะกลาง-ยาวเปิดกว้างขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Domestic Play ส่วนระยะสั้นเราคาดหุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 2Q24 ออกมาแข็งแกร่งจะมีแรงเก็งกำไรเข้ามาหนุนและเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาด
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นเป็นรายตัวที่มีแนวโน้มกำไร 2Q24 โดดเด่นและมี ESG Rating สูง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน ก.ค.: CPF, DOHOME, PHG, SAPPE, TTA
FSSIA Portfolio: AOT, BDMS, CPALL, CPN, GPSC, KCG, SHR, SJWD, TIDLOR, TU
หุ้นเด่น Finansia 17 ก.ค. 24 : NSL
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36 บาท
- คาดกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 133 ลบ. +4% q-q, +60% y-y แตะ record high จากรายได้ที่คาดว่าจะเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องและเป็นการเติบโตที่สูงกว่า CPALL เนื่องจากไม่ใช้เพียงแค่สินค้าปัจจุบันที่เป็นพวกแซนวิชอุ่นร้อนที่ขายดีตามฤดุกาลเท่านั้น แต่บริษัทได้ออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นปรับขึ้น ชดเชยส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น
- หากงบ 2Q24 ตามคาด คาด 1H24 จะมีกำไรสุทธิ 261 ลบ. +60% y-y และคิดเป็น 60% ของประมาณการทั้งปีของเรา และคาดกำไร 3Q24 น่าจะทรงตัว q-q จากปัจจัยฤดูกาล แต่จะกลับมาทำ record high อีกครั้งใน 4Q24 ที่เป็น Peak season ทำให้เห็นโอกาสปรับประมาณการขึ้นอีก 15% จากปัจจุบันที่คาดกำไรสุทธิปี 2024 ที่ 434 ลบ. +30% y-y
- แนวรับ 31//30-29.25 บาท แนวต้าน 32.50//33.50-34//35 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนยังคงไหลออกจากภูมิภาคแต่บางลงเหลือ US$233 ล้านเม็ดเงินยังไหลออกกระจุกตัวที่ไต้หวัน US$267 ล้าน แต่ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$72 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออก นำโดยอินโดนีเซีย US$33 ล้าน มีเพียงฟิลิปปินส์ที่ไหลเข้าบางๆ แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังผสมผสานและค่อนไปในทางไหลออกจาก Sector Rotation ออกจากหุ้นเทคโนโลยีเข้าหา Value Play จากความคาดหวังที่ FED จะลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้งปีนี้
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) GULF-INTUCH ประกาศควบรวมกิจการเพื่อปรับโครงสร้าง ลดความซ้ำซ้อนของโครงสร้างการถือหุ้น ลดขั้นตอนและเพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกิจ กระจายรายได้ให้มีทั้งพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และดิจิตอล และมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งขึ้น โดยมีอัตราแลกหุ้น คือ 1 GULF : 1.02974 NewCo และ 1 INTUCH : 1.69335 NewCo (ไม่รวมหุ้น INTUCH ที่ GULF ถือ) หลังควบรวม NewCo จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 14,939.84 ลบ. (par 1) GULF, INTUCH และ Strategic Investment จะทำเทนเดอร์ ADVANC ที่ราคา 216.3 บ/หุ้น (อาจปรับลงถ้า ADVANC จ่ายปันผล) GULF, INTUCH จะทำเทนเดอร์ THCOM ที่ราคา 11.0 บ/หุ้น (อาจปรับลงถ้า THCOM จ่ายปันผล) เทนเดอร์ ADVANC และ THCOM จะอยู่ในช่วง 4Q24-1Q25 ควบรวมแล้วเสร็จ NewCo จะเข้ามา list ในตลาดฯ แทนที่ GULF และ INTUCH ที่จะ delist ออกจากตลาดฯในวันเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะอยู่ใน 2Q25
(-) SNNP คาดกำไร 2Q24 ที่ 161 ลบ. +2% q-q, +2.5% y-y โตน้อยกว่าที่เคยคาดที่ 170 ลบ. มาจากรายได้ที่ฟื้นช้ากว่าคาด จากกำลังซื้อที่ไม่สดใส เบื้องต้นบริษัทยังคงเป้ารายได้ปีนี้ +10% y-y แม้เราคาด 1H24 จะโตเพียง 3.2% Y-Y เราปรับลดประมาณการกำไรสูทธิปี 2024 ลง 7% เป็น 660 ลบ. +4% y-y ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 15.50 บาท ราคาหุ้นที่ปรับลง 26% YTD สะท้อนกำไรที่ฟื้นตัวช้าไปพอควร ขณะที่เรายังเห็นความสามารถในการรักษาฐานกำไรและอัตรากำไรให้มีเสถียรภาพได้ Upside ยังเปิดกว้าง ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”
(0) HMPRO คาดกำไรสุทธิ 2024 ที่ 1.62 พันลบ. -5% q-q, +0.2% y-y โดยที่ลดลง q-q เกิดจาก sales ที่ชะลอลง และ ทรงตัว y-y แม้ sales ลดลง แต่ชดเชยด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจากสินค้า Private brand และค่าใช้จ่ายลดลง y-y จากค่า pre-operating expense และค่าไฟที่ลดลง แนวโน้มการฟื้นตัวของ SSSG ใน 2H24 ดูดีขึ้นจากฐานต่ำ และแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯและกำลังซื้อจะช่วยหนุนยอดขายในช่วง 2H24 คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024 ที่ 6.8 พันลบ. +6% y-y ราคาเป้าหมาย 13.60 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(0) SHR คาดขาดทุนจากการดำเนินงานปกติ 2Q24 ที่ 83 ลบ. หากไม่รวมส่วนแบ่งขาดทุจาก SO/Maldives และผลกระทบจาก renovation ของ SAii Laguna Phuket ใน 2Q24 จะพลิกกลับเป็นกำไรจากการดำเนินงาน เราเชื่อว่าผลประกอบการ 2Q24 น่าจะต่ำสุดของปี และจะกลับมาเป็นกำไรใน 3Q24 เติบโตทั้ง q-q และ y-y จากโรงแรมใน Fiji เป็น High season โรงแรม Mauritius กลับมาดำเนินงานปกติ รวมถึงโรงแรมใน Maldives และ UK ได้แรงหนุนจากปัจจัยฤดูกาล ขณะที่โรงแรมในไทยน่าจะทรงตัว q-q ก่อนที่จะดีขึ้นใน 4Q24 เราปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2024 ลง 6-13% เพื่อสะท้อน RevPAR ของ SO/Maldives ที่ฟื้นช้ากว่าคาด ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 3.80 บาท Valuation ถูก เทรด P/BV เพียง 0.4 เท่า ยังแนะนำ “ซื้อ”
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 742.76 จุด หรือ +1.85% ปิดที่ 40,954.48 จุด หลังสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าเฟด ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมานั้น ไม่ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญภาวะถดถอย
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ เนื่องจากหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ และกลุ่มสินค้าหรูหราร่วงลง หลังฮิวโก้ บอส คาดการณ์ผลประกอบการทั้งปีที่ซบเซา ขณะที่ตลาดประเมินโอกาสที่นายโดนัลด์ ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
(+) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวก สอดคล้องกับทิศทางของตลาดสหรัฐฯ นำโดยตลาดญี่ปุ่น หลังผลสำรวจ Tankan Survey และดัชนี PMI สะท้อน กิจกรรมของภาคธุรกิจที่ดีขึ้น
(+) ค่าเงินบาทแข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 36.01 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.44%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.4% ปิดที่ 80.76 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันอ่อนแอลงด้วย อย่างไรก็ดี ความหวังที่ว่าเฟดจะปรับลด อัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย.ช่วยให้สัญญาน้ำมันดิบลดช่วงลบ ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 80.65 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.14%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 38.90 ดอลลาร์ หรือ 1.60% ปิดที่ 2,467.80 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยตลาดยังคงได้ปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนเชื่อมั่นว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 2,474.90 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.29%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 842.02/ +0.66%