UAC ประกาศผลการรดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้ เติบโตอย่างโดดเด่น โชว์กำไรสุทธิโตแตะ 192.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.54% รับอานิสงส์ทุกธุรกิจในเครือสดใส โดยเฉพาะแรงขับเคลื่อนไบโอดีเซลที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ ดันราคาขายพุ่ง พร้อมส่งซิกโค้งสุดท้ายเตรียมปิดดีลโปรเจ็กต์ใหม่ มุ่งสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ ต่อยอดธุรกิจพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งการนำ Business model ไปต่อยอดจากโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนที่เตรียมดำเนินการ ทั้งในประเทศ และกลุ่มประเทศ CLMV คาดได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้

 

นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการ จำนวน 1,130.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.52 % เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 192.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.54% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 163.55 ล้านบาท โดยมี Gross Margin ที่ระดับ 17.31% ส่งผลให้ EBITDA งวด 9 เดือนแรกปี 2564 อยู่ที่ระดับ 322.14 ล้านบาท

ส่วนงบไตรมาส 3/64 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการ จำนวน 420.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.32 % จากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 276.39 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 58.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81.13% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 32.23 ล้านบาท

สำหรับการเติบโตอย่างโดดเด่นของผลการดำเนินงานในงวดที่ผ่านมานั้น มาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นในรายได้ของบริษัท UAPC บริษัทย่อยในเครือ UAC Group ซึ่งทำธุรกิจด้านการผลิตและจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์จำพวก Latex Emulsion นอกจากนั้น ธุรกิจเทรดดิ้งสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย ทำให้กลุ่ม UAC มีกำไรขั้นต้นรวม 63.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน กว่า 52.71% รวมถึงการฟื้นตัวด้านวัตถุดิบของการผลิตของโรงงาน PPP ซึ่งนำไปสู่การจำหน่ายที่มากขึ้นของก๊าซเชื้อเพลิง C1 ก๊าซหุงต้ม (LPG) และก๊าซโซลีนธรรมชาติ (NGL) โดยในปัจจุบันโรงงาน PPP และโรงไฟฟ้าเสาเถียร ได้รับก๊าซธรรมชาติจาก ปตท สผ. เพิ่มขึ้นกว่า 1.2 MMSCFD

นอกจากนี้ ในไตรมาส 4/64 บริษัทจะมีการรับรู้ส่วนแบ่งผลกำไรจากบริษัทร่วมทุน บจ.บางจากไบโอฟูเอล (BBF) ตามสัดส่วนการถือหุ้น 30% เข้ามาในอัตราหุ้นละ 125 บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 105.56 ล้านบาท ซึ่งได้ประโยชน์จากการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ทำให้การจำหน่ายและราคาขายเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น ตามความต้องการใช้นำมันดีเซลในภาคการขนส่ง และภาคการเกษตร ประกอบกับความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบในช่วงที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบปรับสูงขึ้น

ด้านภาพรวมในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างโอกาสทางธุรกิจ โดยการนำ Business model ใหม่ อาทิ การทำ Consulting Service พร้อมทั้งพยายามรักษาการให้บริการและฐานะลูกค้าให้ดีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งพิจารณาการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ภายใต้นโยบายการลงทุนด้าน Energy Efficiency และ Bio Circular Economy ทั้งในประเทศ และกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งในเร็วๆ นี้ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการลงทุนเพิ่มอย่างน้อย 1-2 โครงการ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจ โดยจะมีทั้งในส่วนของการต่อยอดการในส่วนของธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และการนำ Business model ไปต่อยอดจากโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนที่เตรียมดำเนินการอยู่ในขณะนี้

ขณะเดียวกัน ล่าสุดบริษัทได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ 5 ดาว “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ในโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (CGR) ประจำปี 2564 จากสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และยังได้รับรางวัลหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment หรือ THSI เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ทั้งในระดับชุมชนไปจนถึงระดับโลก และมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยการเป็นพันธมิตรกับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมเสมอมา

******************************

- Advertisement -