Daily Focus: Selective and Earnings Play
2024 SET Target : 1470
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัวลงต่อเนื่องตามคาด ปิดลบอีกเล็กน้อย 3.46 จุด ที่ระดับ 1,298.08 จุด ต่ำกว่าระดับ 1,300 จุดอีกครั้ง ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่บางลงเหลือเพียง 3 หมื่นลบ. ถ่วงโดยกลุ่มใหญ่อย่าง ธนาคาร ค้าปลีก พลังงาน อสังหาฯ การแพทย์ สื่อสารฯ เป็น ต้น ส่วนกลุ่มที่ปรับตัวดีกว่าตลาด ได้แก่ ท่องเที่ยว อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นเร่งขึ้นเป็น 975 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิอีกบางๆ 388 ลบ. (แต่ยัง Short Index Futures อีก 1.2 หมื่นสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะยังแกว่งตัวลง โดยประเมินมีโอกาสลงทดสอบบริเวณ Low เดิมที่ 1,285-1,290 จุด ถูกกดดันจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบ หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงขายอย่างนัก โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีตอบรับ Tesla และ Alphabet ที่ประกาศผลประกอบการออกมาไม่ค่อยสดใสนัก ขณะที่ฝั่ง Yield Curve ของสหรัฐฯชันขึ้น หลัง Bond Yield 2 ปีทรงตัวถึงขยับลงเล็กน้อย ขณะที่อายุ 10 ปีขยับขึ้น ส่งผลให้ Inverted Yield Gap ระหว่างอายุ 10-2 ปี ปรับตัวลงเหลือ -0.14% ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 23 สะท้อนภาพทั้งการทยอยลดดอกเบี้ยของ FED รวมถึงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ยังมีความไม่แน่นอน ส่วนคืนนี้ติดตาม GDP 2Q24 สหรัฐฯ (ตลาดคาด +2% q-q SAAR) ส่วนปัจจัยในประเทศวานนี้การแถลงใหญ่ Digital Wallet ค่อนข้างน่าผิดหวังเนื่องจากไม่มีข้อมูลใหม่ และมีเพียง Timeline การลงทะเบียนที่ชัดเจน ส่วนคดีการเมืองจะได้ข้อสรุปในเดือน ส.ค. หลังศาลนัดลงวินิจฉัยทั้งคดียุบพรคก้าวไกลวันที่ 7 ส.ค. และคดีนายกฯเศรษฐาวันที่ 14 ส.ค. ซึ่งเรามองบวกในแง่ Timeline ที่จะได้ข้อสรุปอย่างชัดเจน โดยหากผลออกมาเป็นคุณในคดีนายกฯ เราเชื่อว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวกและทำให้ Upside ระยะกลาง-ยาวเปิดกว้างขึ้นจากปัจจัย Overhang ที่หายไป โดยเฉพาะกลุ่ม Domestic Play ระยะสั้นเราเชื่อว่าโฟกัสของตลาดจะอยู่ที่การประกาศกำไร 2Q24 ของบจ.ซึ่งจากกลุ่มธนาคารที่ออกมาไม่ค่อยสดใสนัก ทำให้ตลาดอาจกังวลกับกลุ่ม Real Sector ที่จะทยอยประกาศตามออกมา ซึ่งต้องติดตามว่าจะต่ำกว่าคาด หรือส่งผลให้ประมาณการ EPS ปี 2024 มี Downside หรือไม่
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นเป็นรายตัวที่มีแนวโน้มกำไร 2Q24 โดดเด่นและมี ESG Rating สูง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน ก.ค.: CPF, DOHOME, PHG, SAPPE, TTA
FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CPALL, CPN, GPSC, KCG, SHR, SJWD, TIDLOR, TU
หุ้นเด่น Finansia 25 ก.ค. 24 : MINT
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายเป็น 44 บาท
- เราคาด MINT จะได้ Sentiment บวกหลัง NHH รายงานกำไร 2Q24 ออกมาโดดเด่นที่ 97 ล้านยูโร +23% y-y ดีกว่าคาด 11% หนุนจาก RevPar ที่ +6% y-y และสูงกว่า Pre-Covid 41%
- ผลประกอบการของธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคอื่นและอาหารคาดว่ายังแข็งแรง ทำให้กำไร 2Q24 ของ MINT คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 3.3-3.5 พันลบ. เติบโต 10-15% y-y ปัจจุบันประมาณการกำไรปกติปี 2024 อยู่ที่ 8.3 พันลบ. +16% y-y ซึ่งอาจมี Upside
- แนวรับ 29//27-26.50 บาท แนวต้าน 31-31.50//34 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนพลิกมาไหลออกจากภูมิภาคตามคาดสุทธิ US$218 ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$216 ล้าน ส่วนไต้หวันปิดทำการเนื่องจากพายุไต้ฝุ่นแกมี ด้านอาเซียนเม็ดเงินไหลออกจากอินโดนีเซีย US$23 ล้าน แต่ไหลเข้าไทยและเวียดนามประเทศละ US$9-11 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังอยู่ในทิศทางไหลออก และมีโอกาสเร่งตัวขึ้นหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯเผชิญแรงขายอย่างหนัก หลังตลาดตอบรับเชิงลบกับผลประกอบการกลุ่มเทคโนโลยีที่ไม่ได้ดีกว่าคาด
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) SIRI คาดกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 1.34 พันลบ. +2% q-q, -18% y-y หากตัดรายการพิเศษออก กำไรปกติคาดที่ 1.28 พันลบ. +17% q-q, +5% y-y สูงกว่าที่เราเคยประเมิน 11% จากการโอนคอนโด JV ใหม่ THE LINE Vibe ผลักดันส่วนแบ่งกำไร JV คาดเพิ่มขึ้น 54% q-q, 174% y-y ขณะที่สัดส่วน SG&A/Sales คาดปรับตัวลงสู่ระดับปกติหลัง 1Q24 มีการบันทึกโบนัสพนักงาน แนวโน้มกำไร 3Q24 คาดขยับขึ้น q-q จากแผนการรับรู้รายได้จาก Backlog ใน 2H24 ราว 2.3 พันลบ. รวมถึงการเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้น นอกจากนี้จะเริ่มโอนคอนโดใหม่แบรนด์ dcondo 4 แห่ง และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของ JV คอนโดน THE LINE Vibe ต่อเนื่อง เรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2024 ที่ 4.7 พันลบ.ทรงตัวจากปีก่อน คาดจ่ายปันผลงวด 1H24 ที่ 0.07 บาท/หุ้น Yield 4.1% คงราคาเป้าหมาย 1.90 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(-) ASK คาดกำไรสุทธิ 2Q24 อ่อนแอที่ 98 ลบ. -43% q-q, -71% y-y กดดันจากการตั้งสำรอง ECL ที่ปรับตัวขึ้น ด้าน PPOP คาด -2% q-q, -10% y-y จากสินเชื่อที่หดตัวจากการปล่อยสินเชื่อที่รัดกุมมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดรถบรรทุก ด้านคุณภาพสินเชื่อถดถอยอย่างชัดเจน โดย NPL คาดปรับขึ้นจาก 5.17% ใน 1Q24 เป็น 6.03% ใน 2Q24 เกินกว่าเป้าของบริษัทที่ 5% ขณะที่เราคาดว่าปริมาณรถยึดจะปรับตัวขึ้น และคาดมีผลขาดทุนจาก NPA สูงขึ้น เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2024-26 ลง 21-33% เป็น -52%/+26%/+21% ตามลำดับ ปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 10.70 บาท ลดคำแนะนำเป็น “ขาย”
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 504.22 จุด หรือ -1.25% ปิดที่ 39,853.87 จุดขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบหลายสัปดาห์ หลังจากบริษัทอัลฟาเบทและเทสลาเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง (-) ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหรา หลังการเปิดเผยผลประกอบการที่ซบเซาของบริษัทหลุยส์วิตตอง (LVMH)
ขณะที่การเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทอื่น ๆ อาทิ กลุ่มธนาคาร ถ่วงตลาดลงด้วย
(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ สอดคล้องกับทิศทางของตลาดสหรัฐฯ (S&P 500และ NASDAQ) ในภูมิภาคมีปัจจัยกดดันจาก GDP เกาหลีใต้ที่ต่ำกว่าคาด และตลาดนิกเกอิที่ปรับตัวลดลง 7 วันต่อเนื่อง
(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 36.08 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.19%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 63 เซนต์ หรือ 0.82% ปิดที่ 77.59 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบและเบนซินลดลงมากกว่าคาดอย่างไรก็ดี ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกเป็น ปัจจัยกดดันตลาดในระหว่างวัน ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 77.37 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.28%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 8.40 ดอลลาร์ หรือ 0.35% ปิดที่ 2,464.00 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยหนุนตลาดขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 2,445.00 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.77%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 841.74/ –