NER ประกาศผลงานงวด 9 เดือนแรก โชว์กำไรสุทธิ 1,245.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 184.97% ขณะที่รายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 18,405.71 ล้านบาท โต 84.36% ระบุเป็นผลจากการขยายกำลังการผลิตในส่วนโรงงานยางแท่งแห่งที่ 2 รวมทั้งราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้น มั่นใจโค้งสุดท้ายยังโดดเด่น รับอานิสงค์ราคายางพาราพุ่ง ดันรายได้โตตามเป้าแตะระดับ 2.4 หมื่นล้านบาท พร้อมขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ จากปัจจุบันที่มีออเดอร์ล่วงหน้าไปถึงปี 2565 ส่วนธุรกิจปลายน้ำ ตั้งเป้ารายได้จากแผ่นยางปูรองนอนวัวที่ระดับ 500 ล้านบาท ช่วยหนุนทิศทางกำไรเติบโตอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว

 

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับงวดไตรมาส 3/64 บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 440.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 287.99 ล้านบาท คิดเป็น 189.07% เทียบกับงวดเดียวกันของปี โดยมีรายได้จากการขายรวม 7,153.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,816.27 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 64.94% โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 4,172.20 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 58.33% ของยอดขายรวม และรายได้จากการขายต่างประเทศ 2,980.87 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 41.67% ของยอดขายรวม

สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 1,245.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 808.52 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 184.97% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.76 บาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.28 บาท โดยมีรายได้จากการขายรวม 18,405.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,422.16 ล้านบาท หรือคิดเป็น 84.36% โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 11,741.08 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63.79% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 5,692.86 ล้านบาท คิดเป็น 94.12%  และรายได้จากการขายต่างประเทศ 6,664.63 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36.21% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 2,729.30 ล้านบาท คิดเป็น 69.35%

ด้านปริมาณขายสินค้า เพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตในส่วนโรงงานยางแท่ง แห่งที่ 2 ส่งผลให้มีปริมาณการขายสำหรับงวด 9 เดือนอยู่ที่ 345,474 ตัน เพิ่มขึ้น 111,849 ตัน คิดเป็น 47.88% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 3/2564 สูงขึ้น

ขณะที่ภาพรวมธุรกิจของปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท และปริมาณขายที่ 4.4 แสนตัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และรองรับกลุ่มลูกค้าจากประเทศจีน สิงคโปร์ อินเดีย และกำลังซื้อจากภายในประเทศ อีกทั้งปัจจุบันบริษัทมีออเดอร์ล่วงหน้าไปถึงปี 2565 แล้ว

นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าจะเห็นภาพรวมความต้องการใช้ยางพาราทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2565 จากความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมยานยนต์ และการขนส่ง อีกทั้งทั่วโลกให้ความสนใจต่อประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการลดและงดใช้ยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่เป็นตัวการสำคัญของก๊าซเรือนกระจก ไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ใช้พลังงานสะอาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด และรถยนต์พลังงานเซลส์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั่วโลกมียอดขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งให้ปริมาณการใช้ยางเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ขณะที่ธุรกิจปลายน้ำ ในปี 2565 บริษัทตั้งเป้ารายได้จากแผ่นยางปูรองนอนวัวประมาณ 500 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิประมาณ 20% ซึ่งจะหนุนให้บริษัทมีทิศทางกำไรสุทธิเติบโตอย่างสม่ำเสมอ และเติบโตในระยะยาว

****************************************

- Advertisement -