Daily Focus: Selective and Earnings Play
2024 SET Target : 1470
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งระหว่างวันเกือบ 10 จุด ก่อนจะถูกแรงเทขายในช่วงปลายตลาด ทำให้ดัชนีปิดบวกเหลือเพียงได้ถึง 0.88 จุด ที่ระดับ 1,308.09 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นขึ้นเป็น 4.6 หมื่นลบ. กลุ่มที่นำตลาด ได้แก่ อิเล็กรอนิกส์ สื่อสารฯ ธนาคาร เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่ถ่วง คือ ค้าปลีก ท่องเที่ยว วัสดุก่อสร้าง การแพทย์ อสังหาฯ อาหาร เป็นต้น สถาบันในประเทศพลิกมาขายสุทธิในตลาดหุ้น 573 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิบางๆ 101 ลบ. (และ Long Index Futures อีก 9.6 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะยังคงแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,300-1,315 จุด โดยคาดหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและพลังงานจะเริ่มลดความร้อนแรงลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ และราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงต่อเนื่องต่ำสุดในรอบเกือบ 2 เดือน ขณะที่คืนนี้มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือการประชุม FED คืนนี้ ซึ่งคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25-5.5% โดยเฉพาะถ้อยแถลงของประธาน FED ว่าจะมีการส่งสัญญาณชัดเจนเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. หรือไม่ ซึ่งหากไม่ชัดเจนอาจทำให้ตลาดผิดหวัง เนื่องจากปัจจุบันตลาดให้ความน่าจะเป็น 100% และมองปรับลง 2-3 ครั้งปีนี้ ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ สภาฯ จะมีการพิจารณางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 67 วาระ 2-3 ส่วนพรุ่งนี้จะเริ่มลงทะเบียน Digital Wallet เราเชื่อว่าในช่วงครึ่งเดือนแรกของ ส.ค. ตลาดจะให้น้ำหนักกับการติดตามการทยอยประกาศกำไร 2Q24 ฝั่ง Real Sector ว่าจะทำได้ตามคาดหรือไม่ ซึ่งจะมีผลต่อประมาณการ EPS ปี 2024 ปัจจุบันที่ระดับ 91.50 บาท ส่วน Highlight ยังคงอยู่การวินิจฉัยคดีการเมืองทั้งคดียุบพรคก้าวไกลวันที่ 7 ส.ค. และโดยเฉพาะคดีนายกฯเศรษฐาวันที่ 14 ส.ค. โดยเรามองบวกในแง่ Timeline ที่จะได้ข้อสรุปอย่างชัดเจน หากผลออกมาเป็นคุณในคดีนายกฯ เราเชื่อว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวกและทำให้ Upside ระยะกลาง-ยาวเปิดกว้างขึ้น จากปัจจัย Overhang ที่หายไป โดยเฉพาะกลุ่ม Domestic Play ระยะสั้นยังคาดหุ้นที่คาดมีแนวโน้มกำไรแข็งแกร่งและแนวโน้มดีต่อใน 2H24 คาดว่าจะยังปรับตัวได้แกร่งกว่าตลาด
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นเป็นรายตัวที่มีแนวโน้มกำไร 2Q24 โดดเด่น // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้า ยังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน ก.ค.: CPF, DOHOME, PHG, SAPPE, TTA
FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CALL, CPN, GPSC, KCG, SHR, SJWD, TIDLOR, TU
หุ้นเด่น Finansia 31 ก.ค. 24 : SJWD
– แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23 บาท
– คาดกำไรปกติ 2Q24 ที่ 165 ลบ. +3% q-q, +32% y-y หนุนด้วยส่วนแบ่งกำไรของบ.ร่วมในเวียดนาม และการรับรู้กำไรเต็มไตรมาสของ ANI และ SWIFT แต่ธุรกิจของ SJWD ถูกกระทบจาก low season และยอดขายรถในประเทศที่ชะลอ
– แนวโน้ม 2H24 จะดีขึ้น ธุรกิจรับฝากและบริหารรถมีลูกค้าใหม่เพิ่ม ธุรกิจห้องเย็นและธุรกิจขนส่งและกระจายสินค้าเข้าสู่ high season แม้กำไร 1H24 จะไม่สดใสเท่าที่เคยคาดในช่วงก่อนหน้า แต่ P/E, EV/EBITDA ต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี และราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่า BV 1Q24 ที่ 12.51 บาท/หุ้นไปแล้ว
– แนวรับ 11.50 บาท แนวต้าน 12.40//12.80-13 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนยังไหลออกจากภูมิภาคต่อเนื่องสุทธิอีก US$1,063 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$741 ล้าน ตามด้วยเกาหลีใต้ US$248 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดไหลออกนำโดยอินโดนีเซีย US$54 ล้าน มีเพียงไทยที่ไหลเข้าบางๆ US$3 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังอยู่ในทิศทางไหลออก โดยคาดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังเผชิญแรงขาย ขณะที่ตลาดรอติดตามผลการประชุม FED และถ้อยแถลงคืนนี้
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) DELTA เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2024-26 ขึ้น 11%/24%/41% เป็นเติบโต 16%/28/28% ตามลำดับ จากคำสั่งซื้อ AI ที่มาจาก Delta Taiwan และได้ราคาเป้าหมายปี 2025 ใหม่ที่ 110 บาท อิง PE ที่ 50 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย PE ในอดีตและเพิ่มสะท้อนความคาดหวังในอุตสาหกรรม AI และ EV ที่เติบโตสูงชัดเจน ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ถือ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปัจจุบันเทรดกันที่ระดับ PE ปี 2024 ที่ 62 เท่า ซึ่งได้สะท้อนความคาดหวังที่สูง ระยะสั้นแนะนำเพียง “เก็งกำไร”
(-) AOT มีมติให้ King Power หยุดประกอบกิจการ Duty free ขาเข้าใน 6 สนามบิน และจะมีการขอคืนพื้นที่รวม 2,251 ตร.ม. ตั้งแต่ 1 ส.ค. นี้เป็นต้นไป ส่งผลให้ AOT น่าจะได้รับ Minimum guarantee ลดลงประมาณปีละ 1.7 พันลบ. หากคิดเฉพาะสัญญาหลัก Duty free ที่สุวรรณภูมิครั้งแรกมีการขอคืนพื้นที่ลดลงประมาณ 7.5% และครั้งนี้อีกประมาณ 13% ส่งผลให้ MG per head ลดลงจาก 233 บาท/หัวเป็น 216 บาทต่อหัว (ครั้งแรก) และเหลือประมาณ 186 บาท/หัว (ครั้งนี้) แต่จะเปลี่ยนเป็นนับเฉพาะผู้โดยสารขาออกและ transit/transfer จึงคิดที่ประมาณ 372บาท/หัว ประมาณการกำไรปี FY25E ที่ 2.68 หมื่นลบ.น่าจะมีการปรับลงอีกประมาณ 6% และราคาเป้าหมายปัจจุบันที่ 70 บาท
(0) BBL มองว่าเศรษฐกิจโลกมีทิศทางเป็นบวกมากขึ้น และเห็นการฟื้นตัวรอบใหม่ ส่วนมากจากการลดอัตราดอกเบี้ยของยุโรปและจีน ส่วนการลดอัตราดอกเบี้ยที่กำลังจะมาถึงในสหรัฐฯ อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วง 1.5 ปีข้างหน้าและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ยังคงคาดเศรษฐกิจไทย +3% ในปี 2024 ส่วนสินเชื่อ 1H24 +1.8% YTD BBL ย้ำถึงแนวโน้มเชิงบวกในช่วง 2H24 และคงเป้าประมาณการเติบโตปี 2024 ไว้ที่ 3-5% y-y เราคงประมาณการกำไรปี 2024-26 ที่ +3.7% CAGR ราคาเป้าหมาย 157 บาท ยังแนะนำ “ถือ”
(0) BCH คาดกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 326 ลบ. +10% y-y จากรายได้ของผู้ป่วยในประเทศและประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น แต่รายได้จากผู้ป่วยคูเวตลดลง หลังรัฐบาลคูเวตตัด guarantee of payment เป็นค่ารักษาให้คนคูเวต แนวโน้มกำไร 2H24 จะได้รับผลกระทบจากลูกค้าคูเวตที่ขาดไป และต้นทุนการรักษาคนไข้ประกันสังคมสูงขึ้น ดังนั้นเราจึงปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2024 ลง 7-9% เป็น 1.6 พันลบ. +14% y-y และได้ราคาเป้าหมาย 22 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(0) EPG คาดกำไรปกติ 1QFY25 ที่ 310 ลบ. +2% q-q และ +12% y-y ใน 1QFY25 กำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากธุรกิจฉนวน Aeroflex และชิ้นส่วนยานยนต์ Aeroklas ส่วนกำไรที่ยังอ่อนแอเพราะถูกฉุดโดยบริษัทย่อยในออสเตรเลีย TJM และบริษัทร่วมในแอฟริกาใต้ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารยังคงสูง ขณะที่ EPP ยังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรง เราเชื่อว่าจะดีขึ้นใน 2HFY25 จากผลการดานเนิงานที่ดีขึ้นของ TJM และบ.ร่วมในแอฟริกาใต้ เรายังคงราคาเป้าหมาย 8 บาทแนะนำ “ซื้อ”
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 203.40 จุด หรือ +0.50% ปิดที่ 40,743.33 จุด แต ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นบริษัทผลิตชิปและบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง ก่อนที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงไมโครซอฟท์และแอปเปิ้ล ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟด และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในสัปดาห์นี้เช่นกัน
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ ของยุโรป ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟด ในสัปดาห์นี้เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มนโยบายการเงิน
(0) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดผสม โดยตลาดรอประเมินผลการประชุมนโยบายทางการเงินของ BoJ และ รายงานดัชนี PMI ของจีนในวันนี้
(+) ค่าเงินบาทแข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 35.88 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.31%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.08 ดอลลาร์ หรือ 1.42% ปิดที่ 74.73 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยตลาดถูกกดดันจากความกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันภายในประเทศอ่อนแอลงด้วย ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมกลุ่มโอเปกพลัส โดยคาดว่าที่ประชุมจะยังคงเดินหน้าแผนการปรับเพิ่มอุปทานน้ำมัน ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 75.28 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.74%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 74.10 ดอลลาร์ หรือ 3.12% ปิดที่ 2,451.90 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. ในขณะที่เช้านี้ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 2,450.90 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.04%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 843.17/ -0.24%