ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น เผยไตรมาส 2 แข็งแกร่งด้วยยอดขาย 4.6 พันล้านบาท เติบโต 41% กำไรพุ่ง 127% ทะลุ 1 พันล้านบาท พร้อมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.40 บาทต่อหุ้น
บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC รายงานผลการดำเนินธุรกิจประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2567 มีรายได้จากยอดขายรวมที่ 4,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,009 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ผลจากความต้องการสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียมและการปรับราคา ทำให้ไอ-เทลมีอัตรากำไรขั้นต้นรายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 30 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายจากความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจและแรงกดดันจากการแข่งขันทั่วโลก
นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราได้เห็นการฟื้นตัวของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายภูมิภาคทั่วโลก อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจยังคงส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของไอ-เทล และภาคอุตสาหกรรม แต่เรายังคงคาดหวังการเติบโตของยอดขายที่สูงขึ้นจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของเราในช่วงเวลาหลังจากนี้ ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังเดินหน้าตามแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกและการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพื่อบรรลุเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในระยะยาวด้วยยอดขาย 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573”
สำหรับผลการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น มีรายได้จากยอดขายรวม 8,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,831 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.40 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 66 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิของรอบครึ่งปีแรก ซึ่งจะจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 3 กันยายน 2567 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 20 สิงหาคม 2567 โดยเตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 19 สิงหาคม 2567
ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีสัดส่วนของยอดขายในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 49 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 34 เปอร์เซ็นต์และยุโรปอยู่ที่ 17 เปอร์เซ็นต์ โดยสามารถแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทของสินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 70 เปอร์เซ็นต์ อาหารสุนัข 15 เปอร์เซ็นต์ ขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยง 11 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจอื่นราว 2 เปอร์เซ็นต์ โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาและออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 700 รายการ เพื่อรองรับความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญต่อการเจาะตลาดกลุ่มสินค้าตราห้าง (private label) และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศในยุโรป
บริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อการตอบสนองต่อการเติบโตของเทรนด์ Pet Humanization ในประเทศไทย ผ่านการเปิดตัวแบรนด์พรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงของไอ-เทล ได้แก่ ‘เบลลอตต้า’ อาหารแมวสูตรพรีเมียม และอาหารแมวและสุนัขสูตรเป็นมิตรต่อไต ‘เชนจ์เตอร์’ เพื่อตอกย้ำจุดยืนและความสามารถด้านการดำเนินธุรกิจในการส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีความโดดเด่นด้วยรสชาติที่อร่อยถูกปากและเต็มเปี่ยมด้วยคุณค่าทางโภชนาการด้วยนวัตกรรมที่ก้าวล้ำจากเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตที่เป็นมาตรฐานระดับโลก เพื่อรองรับความต้องการและครองใจบรรดา Pet Parents ในประเทศไทยอีกด้วย
นอกจากนี้ ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น มีผลงานที่โดดเด่นในช่วงครึ่งปีแรก โดยหุ้น ITC ได้รับเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้เป็นหุ้นที่เข้าคำนวณดัชนี SET50 รอบครึ่งปีหลังของปี 2567 สะท้อนให้เห็นถึงพื้นฐานที่ดีและศักยภาพในการบริหารองค์กรและนโยบายด้านการเงินที่เข้มแข็ง การได้รับเลือกครั้งนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อกลุ่มนักลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
ท้ายที่สุดนี้ ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยอาหารแมว i-Cattery ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเป็นหน่วยงานเอกชนรายแรกในประเทศไทยและเป็นบริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงเพียงรายเดียวของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล Association for Assessment and Accreditation of Laboratory Animal Care (AAALAC) International ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าระบบปฏิบัติการของศูนย์วิจัยฯ มีความสอดคล้องและเป็นไปตามมาตรฐานสากล และมีการรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพที่ดีของสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องตามจรรยาบรรณ ส่งผลให้ข้อมูลและงานวิจัยของศูนย์วิจัยฯ มีคุณภาพและมีความถูกต้อง แม่นยำ และน่าเชื่อถือ
“ผมมั่นใจว่ากลยุทธ์ในการเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกด้วยการจัดการองค์กรสู่ความเป็นเลิศควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนำเสนอนวัตกรรมที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจจะสามารถขับเคลื่อนไอ-เทลไปในทิศทางที่ถูกต้อง เพื่อรักษาผลการดำเนินงานให้อยู่ในระดับดีอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2567 และสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนนับจากนี้” นายพิชิตชัยกล่าวทิ้งท้าย