ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแย่ต่อเนื่อง แต่หุ้นไทยจะดีกว่าหุ้นสหรัฐฯ

Market Update

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 0.09% อย่างไรก็ตามตลาดหุ้น S&P500 , Nasdag ปิดในแดนลบรับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่ม Technology ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 1.4% เนื่องจากกังวลว่าอุปสงค์น้ำมันจะชะลอตัวลงในหลายเดือนข้างหน้าจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ

Market Outlook

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้รายงานตำแหน่งเปิดรับสมัครงานที่ระดับ 7.67 ล้านตำแหน่ง แย่กว่าที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 8.1 ล้านตำแหน่ง โดยอุตสาหกรรมที่เปิดรับสมัครงานน้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ได้แก่ กลุ่มค้าปลีกเล็กๆ ภาคบริการโดยเฉพาะที่พักอาศัยและร้านอาหาร ภาคผลิต (ทั้งสินค้าคงทนและสินค้าไม่คงทน) สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแรงลง เป็นเหตุให้ US Bond Yield ทั้งรุ่นอายุ 2, 10 ปีปรับลงสะท้อนถึงความคาดหวังนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของนักลงทุน โดย CME FED Watch เริ่มปรับเพิ่มน้ำหนักลดดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนกันยายนเป็น 44% จากก่อนหน้าที่ 38% และลดโอกาสลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 56% จากก่อนหน้าที่ 62% เมื่อประกอบกับ Valuation หุ้นสหรัฐฯที่แพง จึงมีความเสี่ยงที่จะเห็นการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในขณะที่ความกังวลเศรษฐกิจถดถอยก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องติดตาม อย่างไรก็ตามกับตลาดหุ้นไทยอาจเห็นการ Outperform ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วในวานนี้ (SET INDEX +0.07% สวนทางกับ Taiwan -4.5% Vietnam -0.6%) สาเหตุหลักมาจาก Sector ส่วนใหญ่ในประเทศไทยเป็น Value Stock ที่ไม่มีสัดส่วน Technology Stock เท่าใด ขณะที่เศรษฐกิจไทยกำลังค่อยๆฟื้นตัวและเหมือนว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วช่วง 1Q24 พร้อมกับมีความหวังจากการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งวานนี้ราชกิจจา ได้ประกาศแต่งตั้งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ พร้อมกับเปิดเผยรายชื่อคณะรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ มีรายงานล่าสุดออกมาว่าเตรียมจัดประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพิเศษในวันที่ 7 ก.ย. จากนั้นในวันที่ 11 ก.ย. จะมีการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา คาดว่าจะเห็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากนี้จากรัฐบาลชุดใหม่ เชื่อว่าบุคคลที่ตลาดทุนจับตา ได้แก่ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ซึ่งปรากฏว่ายังเป็นรัฐมนตรีที่เคยปฏิบัติก่อนหน้า ดังนั้นการสานต่อนโยบายต่างๆ น่าจะดำเนินต่อได้ (กองทุนวายุภักษ์) ปัจจัยติดตามคืนนี้ ได้แก่ การจ้างงานภาคเอกชนจากสถาบัน ADP และดัชนี้ PMI ภาคบริการ (ISM Service PMI) Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 1.44 แสนรายและ 51.3 ตามลำดับ

วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1360 – 1370 เชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะสะสมได้เช่นเดิมเน้นที่กลุ่มค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) ส่งออก (ITC TU) เครื่องดื่ม (TACC)

หุ้นแนะนำซื้อวันนี้

CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 79.00 บาท)

รายงานกำไรงวด 2Q24 ที่ 6.2 พันล้านบาท (+41%YoY) หลังหักรายการพิเศษจะมีกำไรปกติ 6.1 พันล้านบาท (+37%YoY, +2%QoQ) หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่เติบโต 3.8%YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +1.8% และ Lotus’s +3.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2H24 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว

CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 89.00 บาท)

CPN มีกำไรสุทธิงวด 2Q24 ที่ 4,556 ล้านบาท (+24%YoY, +10%QoQ) ถ้าไม่รวมรายการพิเศษจะมีกำไรปกติ 4,411 ล้านบาท (+22%YoY,+6%QoQ ดีกว่าที่เราคาดเล็กน้อย โดยได้รับผลดีจากรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลังมีการโอนคอนโดเพิ่มเข้ามา 2 แห่ง ขณะที่ธุรกิจอื่นยังคงเติบโตเช่นกันรวมถึงการรับรู้รายได้จากการต่อสัญญาเซ็นทรัลปิ่นเกล้าเข้ามาประมาณ 182 ล้านบาท หลังจากใน 1Q24 มีแต่ในส่วนของค่าใช้จ่ายเข้ามา

- Advertisement -