PMC พร้อมลั่นระฆัง! เทรด mai 11 ก.ย.นี้ โบรกฯ เคาะราคาเหมาะสมที่ 3.40-4.12 บ./หุ้น ย้ำเป้า มุ่งสู่ยอดขายพันล้าน Top 3 ผู้นำตลาดสติ๊กเกอร์เปล่าบุกอาเซียน
PMC หุ้นไอพีโอรายใหญ่วงการสติ๊กเกอร์เปล่า พร้อมลั่นระฆังเทรดวันแรก 11 ก.ย.นี้ เงินระดมทุนหนุนแผนโต “เอก สุวัฒนพิมพ์” ซีอีโอ ตั้งเป้ามุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันอยู่ระหว่างเดินหน้าขยายกำลังการผลิต โดยใช้เครื่องจักรที่มีความทันสมัย ไฮเทคโนโลยี ช่วยหนุนต้นทุนต่อหน่วยลดลง ตั้งธงในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพิ่มยอดขายสู่ระดับ 1,000 ลบ. ด้วยอัตราการเติบโตของยอดขายไม่ต่ำกว่า 7–10% ต่อปี และจะมีศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Centers) ครบ 5 แห่ง ในประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ครอบคลุมประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ด้านบทวิเคราะห์จาก 5 บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ประเมิน PMC ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 3.40-4.12 บ./หุ้น
นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์เปล่าหรือฉลากกาวรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทฯพร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรม (INDUS) ในวันที่ 11 กันยายนนี้ โดยใช้ชื่อย่อ “PMC” วางเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน ด้วยยอดขายและผลกำไรที่เติบโตอย่างมั่นคง ควบคู่การสร้างความยั่งยืนร่วมกับคู่ค้า
ชูปัจจัยพื้นฐานธุรกิจมีความแข็งแกร่ง สามารถปรับกลยุทธ์ภายใต้วิกฤติต่างๆ จนวันนี้มองว่า PMC เป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมสติ๊กเกอร์เปล่า ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับการผลิตฉลากสินค้าและฉลากบรรจุภัณฑ์ โดยจำหน่ายสินค้าให้แก่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่น ในด้านความไว้วางใจ และความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายสินค้า ส่งผลให้ปัจจุบัน PMC มีฐานลูกค้าอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์หลักๆ อยู่ในกลุ่มค้าปลีก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว, กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มโลจิสติกส์ และสามารถเข้าถึงทุกกลุ่มผู้บริโภคปลายทาง การเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จึงเป็นการสนับสนุนให้ PMC ยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานสากล สามารถสร้าง New S-Curve ทางธุรกิจได้
โดยในช่วงที่ผ่านมา PMC มีการใช้อัตรากำลังการผลิตอยู่ในระดับสูง ดังนั้น แผนขยายตลาดและการเพิ่มยอดขายต้องมั่นใจว่ามีกำลังการผลิตรองรับ และคีย์สำคัญคือเทคโนโลยี บริษัทฯ จึงลงทุนขยายกำลังการผลิต เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์อีก 110 ล้านตารางเมตรต่อปี ด้วยเครื่องจักรที่มีความทันสมัยและมีความหลากหลาย ซึ่งจะทำให้ PMC มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว จาก 75 ล้านตารางเมตรต่อปี เป็น 185 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งถือเป็นกำลังการผลิตที่ใหญ่ที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ของผู้ประกอบการในประเทศไทย และสนับสนุนคุณภาพของสินค้าที่สูงขึ้น พร้อมต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำลง คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/68 นี้
นอกจากนี้ PMC โฟกัสกลยุทธ์การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉลากกาวในภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันมีฐานลูกค้าหลักอยู่ในประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย พร้อมทั้งปักธงขยายไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ โดยอยู่ระหว่างขยายไปเวียดนาม และอินโดนีเซียเพิ่มเติม เพราะหากอยู่ใน 5 ประเทศนี้
ก็เทียบเท่ากับการเข้าไปในตลาดที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในอาเซียน ควบคู่การโฟกัสผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าพิเศษและไฮมาร์จิ้นมากขึ้น การเพิ่ม Value Added ให้ลูกค้า ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
ด้านนางรัชดา เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ของ PMC เชื่อมั่นว่านักลงทุนมองเห็นศักยภาพและโอกาสการเติบโตของ PMC ซึ่งนับเป็นหุ้นสายอุตสาหกรรมที่มีจุดเด่นเป็นบริษัทชั้นนำด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมผู้บริหารที่มาจากทั้ง SELIC และอุตสาหกรรมฉลากกาว มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี พร้อมก้าวสู่ผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉลากกาวในภูมิภาคอาเซียนต่อไป
การเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในครั้งนี้ของ PMCจะสนับสนุนบริษัทฯ นำเงินที่ได้จากการระดมทุนใช้ลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับสายการผลิตใหม่ และชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน รวมถึงลงทุนขยายธุรกิจของบริษัท ซึ่งรวมถึงการขยายศูนย์กระจายสินค้าในประเทศต่างๆ เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต และสนับสนุนการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2568 – 2570) บริษัท ตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายสู่ระดับ 1,000 ล้านบาท โดยจะรักษาอัตราการเติบโตของยอดขายไม่ต่ำกว่า 7–10% ต่อปี และตั้งเป้าที่จะมีศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Centers) ครบ 5 แห่ง ครอบคลุมประเทศที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพื่อขยายฐานลูกค้ารายใหญ่ในภูมิภาค ควบคู่การบริการหลังการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ PMC เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 115.72 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ กำหนดราคาเสนอขายที่ 1.82 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Trailing 12-month P/E Ratio) เท่ากับ 12.18 เท่า (Pre-dilution) และ 17.40 เท่า (Fully-Diluted) นับเป็นราคาที่เหมาะสมและมีความน่าสนใจ ขณะที่ บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำรวม 5 แห่ง ที่จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ให้มูลค่าพื้นฐานของ PMC ปี 2567 อยู่ที่ระหว่าง 3.40-4.12 บาท/หุ้น