บล.กรุงศรีฯ:
KSS Global Macro Strategist Comment: MUFG ออกรายงาน “The Road to 270: A Closer Look at Markets & the 2024 US Presidential Election” มีมุมมองที่น่าสนใจดังนี้:
- Outlook: การเลือกตั้งรอบนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. นี้ โดยมีที่นั่งรวมทั้งหมด 538 ที่นั่งทั่วประเทศ ทำให้พรรคที่ได้คะแนนสูงกว่า 270 จะได้ครองเสียงข้างมาก และตัวแทนจากพรรคดังกล่าวจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ โดยตัวแทนจากพรรคDemocrat ได้แก่ Kamala Harris และตัวแทนจากพรรค Republican ได้แก้ Donald J. Trump โดยจากผล Poll ล่าสุดที่สำรวจในเดือน ก.ย. พบว่าคะแนนนิยมสำหรับพรรคเดโมแครทอยู่ที่ระดับ 48.5% สูงกว่า Republican อยู่ที่ระดับ 47.0% ขณะที่ผลโพลสำหรับคะแนนนิยมของ Kamala Harris อยู่ที่ระดับ 51.0% และ Donald J. Trump อยู่ที่ระดับ 48%
- Swing State: MUFG มองรัฐที่ไม่มีคะแนนเสียงเด็ดขาด (Swing State) จะเป็นตัวชี้ขาดผลการเลือกตั้ง โดยรัฐที่อยู่ในกลุ่ม Swing States ได้แก่ เพนซิลเวเนีย, แอริโซนา, จอร์เจีย, เนวาดา, วิสคอนซิน, มิชิแกน และนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งผลสำรวจในหลายรัฐชี้ว่าการแข่งขันยังคงสูสีกันมาก เช่น รัฐวิสคอนซิน Harris นำอยู่ 1.8% ส่วนเพนซิลเวเนียมีคะแนนเสมอกันที่ 0% ซึ่งคะแนนเหล่านี้ยังอยู่ในขอบเขตความผิดพลาดทางสถิติ ทั้ง Harris และ Trump จะต้องมุ่งเน้นการชนะในรัฐที่มีความสำคัญต่อคะแนนเสียงในคณะผู้เลือกตั้ง โดยเฉพาะเพนซิลเวเนียซึ่งมีคะแนนเลือกตั้ง 19 คะแนน รัฐนี้ถือเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับการได้ชัยชนะในครั้งนี้
- Regulatory Policy: สำหรับแนวนโยบายด้านกฏระเบียบ (Regulatory Policy) มีความแตกต่างที่น่าสนใจได้แก่
1) Financial Sector: Democrat จะเพิ่มข้อบังคับให้รัดกุมมากขึ้น ขณะที่ Republican เน้นการลดระเบียบข้อบังคับเพื่อสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มการเงิน
2) Climate Regulation: Democrat เตรียมเดินหน้าสานต่อนโยบายเพื่อสนับสนุนการลดโลกร้อนที่มีอยู่ และทำเพิ่มเติม ขณะที่ Republican จะยกเลิกนโยบายสนับสนุนการลดโลกร้อนเดิมของรัฐบาล Joe Biden และมีทีท่าไม่เห็นด้วยกับการใช้พลังงานสะอาด
3) Digital Asset Regulation: Democrat มุ่งเน้นที่การสร้างระเบียบข้อบังคับเพื่อควบคุม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องผู้เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ Digital ขณะที่ Republican สนับการใช้งานสินทรัพย์ Digital โดยจะไม่เพิ่มความเข้มงวดของกฏระเบียบที่ใช้ควบคุม
- Corporate Tax Policy: Democrat จะไม่ต่ออายุการลดอัตราภาษีของบริษัทจดทะเบียน โดยจะกลับไปที่ระดับ 28% ขณะที่ Republican นำเสนอการตัดลดอัตราภาษีบริษัทจดทะเบียนลงสู่ระดับ 15%
- Foreign and Trade Policy: มีประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่
1) นโยบายกับจีน: Democrat มีแนวโน้มคงอัตราภาษีการค้าที่มีต่อจีนไว้ดังเดิม และยังมุ่งเน้นการกีดกันทางการค้าผ่านทางกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่ Republican เตรียมขึ้นภาษีกีดกันทางการค้ากับจีนสู่ระดับ 60% และมุ่งเน้นการกีดกันทางการค้าผ่านกลุ่มเทคโนโลยีเช่นกัน นอกจากนี้จะใช้การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับการผลิตสินค้าในสหรัฐอีกด้วย
2) นโยบายกับไต้หวัน: Democrat มีแนวโน้มนโยบายสนับสนุนความเป็นอิสระของไต้หวันตามเดิม ขณะที่ Republican นั้นยังไม่มีแนวนโยบายชัดเจนเกี่ยวกับไต้หวัน
3) นโยบายต่อยูเครน: Democrat มีแนวนโยบายจะสนับสนุนการต่อสู้ของยูเครนในลักษณะเดิม ขณะที่ Republican มีแนวโน้มลดระดับความช่วยเหลือลง
4) นโยบายต่อความขัดแย้งในตะวันออกกลาง: Democrat ยังสนับสนุนความมั่นคงของอิสราเอล โดยเน้นไปที่การแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางการเมืองอย่างสันติ ขณะที่ Republican สนับสนุนความปลอดภัยของอิสราเอลเช่นกัน แต่จะไม่ชัดเจนเท่า
- Monetary Policy: มองว่าความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐจะยังคงมีอยู่ โดยที่ประธานธนาคารกลาง Jerome Powell จะดำรงตำแหน่งจนถึงปี 2026 และแม้จะมีการแต่งตั้งผู้บริหารใหม่ แต่ก็ยากที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญในช่วงประธานาธิบดีคนต่อไป
- Equity Market: ตลาดหุ้นสหรัฐมักจะให้ผลตอบแทนเชิงบวกได้ดีหลังการเลือกตั้ง (Election Rally)
- Bond Market: MUFG มองว่าทั้ง Democrat และ Republican มีแผนที่จะใช้แนวนโยบายการคลังแบบขยายตัว ซึ่งการใช้นโยบายลักษณะดังกล่าวเป็นลบต่อตลาดพันธบัตร โดยรัฐบาลทั้งสองฝ่ายไม่ได้มุ่งเน้นการควบคุมวินัยทางการคลัง ซึ่งทำให้มีผลกระทบต่อพันธบัตรในระยะยาว
Strategy: ผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ขึ้นกับผลการเลือกตั้งใน Swing State เป็นสำคัญ ที่จะกำหนดผลการเลือกตั้งสหรัฐ ปธน. 5 พ.ย. นี้ KSS ประเมินว่าตลาดหุ้นสหรัฐ จะแกว่งตัวออกข้างหรือพักฐานก่อนทราบผล และด้วยความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งของ US และความเสี่ยงด้านนโยบาย
ภายใต้วงจรดอกเบี้ยขาลง น่าจะหนุนตลาด ASEAN เป็นเป้าของการลงทุนระยะนี้ต่อเนื่อง ไปจนถึงก่อนการเลือกตั้ง 5 พ.ย. จาก
1) เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากภายใน
2) Valuation ยังถูก / Laggard
3) Global Yield ลดลง Dollar อ่อนค่าหนุน EM และ
4) นโยบายการเมืองระหว่างประเทศเป็นกลาง
ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ น่าจะมีโอกาสฟื้นตัวหลังทราบผลการเลือกตั้ง และกรณีนโยบาย US ไม่กระทบ ASEAN มาก ตลาดหุ้นไทยมีโอกาส Outperform ต่อเนื่อง ภายใต้ความไม่แน่นอนการเลือกตั้งสหรัฐฯ ดังกล่าว กลยุทธ์แนะนำ หุ้นที่มีแรงขับเคลื่อนการฟื้นตัวภายใน เป็นกลุ่ม Outperform ช่วงที่โลกเผชิญผลกระทบการกีดกันทางการค้ารอบก่อน อาทิ UTILITIES (GPSC, GULF), TELCOs (ADVANC), Consumer Staples (CPALL), Health (BDMS, CHG), BANK (BBL)