บล.ไอร่า: Friday, November 12, 2021

HANA : ราคาเป้าหมาย 86.00 บาท

  • Demand ชิปทั่วโลกอย่างแข็งแกร่ง…ล่าสุด Lead Time การผลิตชิปทั่วโลกเดือนต.ค. อยู่ที่ 21.9 สัปดาห์สูงสุดนับตั้งแต่เก็บตัวเลขตั้งแต่ปี’60 และเพิ่มขึ้น 1%QoQ และ 70%YoY ทั้งนี้เรามองว่าภาวะดังกล่าวจะคงอยู่ต่อไปในปี’65 พิจารณาจากการก่อสร้างโรงงานใหม่ที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 18-24 เดือน และภาวะดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อ HANA ซึ่งเป็น EMS รายใหญ่
  • เริ่มขยายเข้าสู่ธุรกิจที่มี Value Added สูง…ล่าสุด HANA ประกาศขยายเงินลงทุนในธุรกิจ Silicon Carbide ในเกาหลีใต้อีก 2 พันล้านบาททั้ งนี้จากศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ จะช่วยให้ EV Cars มีอัตราการสูญเสียใน Invertor ลดลง และจะช่วยให้สถานีชารจ์สามารถชารจ์ไฟฟ้าแก่ EV Cars ได้เร็วขึ้น ตลาดในส่วน Silicon Carbide จึงมีโอกาสเติบโตสูง โดยประเมินกันว่าจะเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ HANA อยู่ระหว่างรอผลตอบรับจากค่ายผู้ผลิตรถยนต์ที่น่าจะได้รับคำตอบในช่วง 2H65
  • เริ่มขยับขึ้นเป็น ODM…เรามองว่า HANA เริ่มขยับความสามารถในเชิงเทคนิคขึ้นเป็นไปตามทิศทางของบริษัทที่ต้องการปรับจากการเป็น OEM ไปสู่ ODM มากขึ้น และจะมีผลพลอยได้ในแง่กำไรเพิ่มขึ้นด้วย โดยในธุรกิจ Silicon Carbide นั้น มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 25-30% หรือคิดเป็นสองเท่าของธุรกิจ EMS ในปัจจุบัน
  • มูลค่าเหมาะสมอยู่ที่ 86.00 บาท … แม้ธุรกิจ Silicon Carbide น่าจะเริ่มสร้างผลกำไรให้ HANA ได้ในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า แต่ด้วยอุตสาหกรรมต้นทาง (EV Cars) ที่สร้างโอกาสเติบโตสูง และมักจะได้รับการประเมินมูลค่า (Multiple) ที่ระดับสูงจากนักลงทุน เรามองว่าในระยะถัดจากนี้ มีโอกาสที่ Consensus จะปรับ Multiple ขึ้นอีก จากที่ล่าสุดให้มูลค่าเหมาะสมประเมินกันไว้ที่ 86.00 บาท

Technical View

HANA

คำแนะนำ:ถือ/ทยอยซื้อ สะสมเมื่อย่อตัว

Support : 82.50 / 79.00 Resistance : 90.00 / 96.00

มุมมองทางเทคนิค : ราคา HANA ในภาพรายสัปดาห์ยังคงอยู่ในทิศทางหลักแนวโน้มขาขึ้น ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในภาพระยะกลาง-ยาวได้ต่อเนื่อง ขณะท่ีภาพรายวัน ราคาปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เข้าใกล้แนวต้านที่ Fibo. Expansion 138.2% แล้วเริ่มชะลอกำลังลงบ้างเล็กน้อย ในส่วนของเครื่องมือทาง ทคนิค MACD ยังคงให้สัญญาณซื้อ แต่ SSTO แกว่งตัวอยู่ในภาวะ Overbought ทำให้คาดว่าราคามีโอกาสแกว่งตัวออกด้านข้างปรับฐานในระยะสั้น เพื่อปรับตัวขึ้นได้ต่อในภาพระยะกลางยาวได้

KCE : ราคาเป้าหมาย 102.00 บาท

  • ตลาด EV กำลังเข้าสู่ช่วงที่เป็น Critical Mass … เรามองว่าความสะดวกในการใช้งาน และราคาที่เข้าถึงได้จะทำให้ตลาด EV มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง โดยล่าสุดเทคโนโลยี Ultra Rapid Charge สามารถชาร์จแบตเตอรี่ของ EV Cars ได้ภายใน 15 นาที ใกล้เคียงกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ขณะที่ราคารถยนต์ EV ปรับตัวลงมาอย่างรวดเร็ว ผลจากราคาต่อหน่วยประจุของแบตเตอรี่ท่ีลดลงมาราว 90% ตลอดช่วงทศวรรษท่ีผ่านมา โดยประเมินกันว่าราคารถยนต์ EV จะเริ่มมีราคาเท่ากับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในปี’65 น้ี ซึ่งเริ่มมีตัวอย่างให้เห็นแล้วในตลาดรถยนต์ของไทยหลังค่ายรถยนต์จีนเริ่มนำเสนอ EV ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท
  • ในฐานะ OEM รายใหญ่ KCE ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของตลาด EV … อ้างอิงข้อมูลจาก Frost & Sullivan ตลาด EV ของรถยนต์ส่วนบุคคลในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า จะเป็นสัดส่วนราว 10-15% ซึ่งเรามองว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เล่นหลักใน Segment น้ีอย่าง KCE ท่ีโดยปกติแล้วจะได้รับอัตรากำไรขั้นต้นสูงในช่วงต้นของ Product Life Cycle ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมจะไม่ได้เติบโตแค่ในส่วนของรถยนต์ EV เท่านั้น ยังมีอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องในทางอิเล็กทรอนิกส์ท่ีเก่ียวเนื่องอื่นๆ อีกด้วย เช่น อุกรณ์เก็บประจุ/ อุปกรณ์ชาร์จ ที่จำเป็นต่างๆ ท่ีจะเติบโตตามไปด้วย ซึ่งเริ่มผลิตกันบ้างแล้วใน OEM ของไทย
  • ผลประกอบการ 4Q64 มีแนวโน้มเชิงบวก…โดยใน 4Q64 น้ี นอกเหนือจากการที่ไม่ใช่เหตุเช่นใน 3Q64 ที่พนักงานราว 2 พันคนต้องกักตัวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในแง่ของยอดขาย ยังมีแนวโน้มเติบโตราว 20%QoQ อีกท้ัง แนวโน้มอัตรากำไรที่สูงขึ้น จากการเร่งตัวของการใช้กำลังการผลิต
  • แนวโน้มปี’65 ยังเติบโตต่อเนื่อง มูลค่าเหมาะสมอยู่ที่ 102.00 บาท … ออร์เดอร์ที่มีในมือของ KCE อยู่ในระดับเต็มกำลังการผลิตไปอย่างน้อยจนถึง 2Q65 ขณะท่ีช่วง 2H65 KCE จะมีกำลังผลิตส่วนเพิ่มอีกในเฟสแรกราว 7 แสนตารางฟุต ด้านมูลค่าเหมาะสมประเมินกันไว้ท่ี 102.00 บาท (Consensus)

Technical View

KCE

Recommend คำแนะนำ:ถือ/ทยอยซื้อ สะสมเมื่อย่อตัว

Support : 86.75 / 82.75 Resistance : 96.00 / 102.00

มุมมองทางเทคนิค: ราคา KCE ในภาพรายสัปดาห์อยู่ในทิศทางแนวโน้มหลักขาขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรายวันราคาปรับตัวข้ึนทำจุดสูงสุดใหม่ในภาพระยะสั้นก่อนจะย่อตัวลงบ้างเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เครื่องมือทางเทคนิค MACD และ SSTO ยังคงให้สัญญาณซื้อ ทำให้คาดว่าราคามีโอกาสแกว่งตัวข้ึนได้ต่อ

MAKRO … ราคาเป้าหมาย 49.00 บาท

  • หลังรวม Lotus ไทย 2,094 สาขา และมาเลเซีย 62 สาขา ทำให้ MAKRO ขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจค้าส่ง (138 สาขาในไทย และ 7 สาขาต่างประเทศ) และค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคใน ASEAN คาดช่วยเพิ่ม Synergy จากฐานลูกค้าทั้ง B2B >3.6 ล้านรายในไทย และ B2C ~ 20 ล้านราย และ ~ 3 ล้านราย สมาชิก Club Card ในไทยและมาเลเซีย ตามลำดับ รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดหา Product พร้อมยังมีพื้นที่ให้เช่า >1.0 ล้านตรม. จากศูนย์การค้า 253 แห่งในไทยและมาเลเซีย ซึ่งมี Occ.Rate >90%
  • คาดกระบวนการรับโอนเสร็จสิ้น ~ ต้นปี ’65 โดย MAKRO เพิ่มทุนรวม 6,372 ล้านหุ้น แบ่งเป็น (1) จำนวน 5,010 ล้านหุ้นเสนอขาย PP ให้แก่ CPRH (CPALL, CPH และ CPM) @ 43.50 บาท เพื่อรับโอนกิจการของ CPRH และ (2) จำนวน 1,362 ล้านหุ้นเสนอขาย PO พร้อมเสนอขายหุ้นเดิมที่ CPALL (363.2 ล้านหุ้น), CPH (363.2 ล้านหุ้น) และ CPM (181.6 ล้านหุ้น) ถืออยู่ และมี Option หุ้น Greenshoe อีก 340.50 ล้านหุ้น
  • คาดเงินที่ได้จาก PO ~50% ใช้ในการขยายสาขา เช่น MAKRO เพิ่มสาขาขนาดกลาง 8-10 แห่ง/ปี Lotus เพิ่มสาขาขนาดกลางใหญ่ 10 แห่ง และ 4-6 แห่ง/ปี เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า B2B และ B2C เพิ่มขึ้น พร้อมเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ Online เป็น 15-20% จาก 1H/64 อยู่ที่ 11% และ 2% สำหรับ MAKRO และ Lotus
  • คาดผลการดำเนินงานปี’65 เริ่มเติบโตโดดเด่น หลังได้ประโยชน์จากการรับโอนกิจการ Lotus คาดรายได้เพิ่มขึ้น 38% อยู่ที่ 331,598 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 9,873 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% ขณะที่คาดเงินปันผล 0.96 บาท/หุ้น ราคาเป้าหมาย (ปี ’65) 49.00 บาท เทียบเท่า PE 35X

Technical View

MAKRO

Recommend คำแนะนำ: ถือ / ซื้อสะสม

Support : 48.00 / 46.50 Resistance : 56.50 / 60.00

มุมมองทางเทคนิค: ราคา MAKRO ในภาพรายสัปดาห์อ่อนตัวลงทดสอบแนวรับท่ีจุดสูงสุดก่อนหน้า แล้ววกตัวกลับขึ้นได้ทำรูปแบบ Throwback ยืนยันทิศทางแนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง-ยาว ขณะที่ภาพรายวันราคาเร่ิมแกว่งตัวขึ้นประชิดแนวต้านท่ีเส้นแนวโน้มการพักตัวขาลงระยะสั้น ขณะที่เครื่องมือทางเทคนิค MACD เร่ิมฟื้นตัวขึ้นแล้ว แต่ SSTO ยังคงอ่อนกำลังอยู่ ทำให้คาดว่าราคามีโอกาสแกว่งตัวทะลุผ่านแนวต้านดังกล่าวได้ในระยะถัดไป

SCGP…..ราคาเป้าหมาย 69.50 บาท

  • แผนการเติบโตต่อเนื่องชัดเจนภายใต้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท/ปี จาก (1) Merger & Partnership – M&P โดยเน้น Downstream เพื่อให้การผลิตครบวงจร Consumer Packaging Solutions และสามารถตอบสนองความต้องการลูกค้า (2) Organic Expansion ต่อเนื่องทั้งในประเทศ (1,838 ล้านชิ้น/ปี) และต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ (220,000 ตัน/ปี) และเวียดนาม (370,000 ตัน/ปี) ซึ่งทยอย COD ต้นปี ’65 และ 67 ตามลำดับ โดย SCGP มีเป้าหมายรายได้เติบโตเท่าตัวในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้าจาก ~ 93,000 ล้านบาทเมื่อปี ’63 จากการลงทุนข้างต้น
  • เผชิญความเสี่ยงจากต้นทุนทั้งวัตถุดิบที่ราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะกระดาษ Recycle หลัง Supply ลดลงในช่วง Covid-19 และค่าระวางเรือที่คาดทรงตัวในระดับสูงถึง 1H/65 ส่งผลต่อต้นทุนในการนำเข้า R/M รวมถึงต้นทุนพลังงาน แต่คาด SCGP สามารถบริหารจัดการต้นทุนในดังกล่าวได้ พร้อมการขยายธุรกิจใน Downstream ทั้ง Fiber และ Polymer รวมถึงขยายไปยังอุตสาหกรรมอาหาร (Go Pak ควบรวมเมื่อต้นปี ’64) และ Healthcare ผ่าน Deltalab (คาดควบรวมแล้วเสร็จ 4Q64) ซึ่งเป็น High Value Added คาดสามารถรักษา EBITDA Margin ในระดับไม่ต่ำกว่า 15% ได้
  • แนวโน้มผลการดำเนินงานปี’65 เติบโตต่อเนื่อง (1) การรับรู้รายได้เต็มที่จากธุรกิจที่ M&P ช่วง 2H/64 (Duy Tan, Intan และ Deltalab) และ (2) คาดการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกลับไปสู่ระดับ 80-85% หลังลงไปที่ 50% ผลกระทบจาก Covid-19 โดยคาดรายได้เติบโต 12% อยู่ที่ 138,112 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 10,272 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 23% คาดเงินปันผลปี ’65 ~ 0.72 บาท/หุ้น
  • ราคาเป้าหมาย (ปี ’65) 69.50 บาท เทียบเท่า PE 28X 

Technical View

Recommend คำแนะนำ: ถือ / ซื้อสะสม

Support : 63.25 / 61.50 Resistance : 68.50 / 71.25

มุมมองทางเทคนิค: ราคา SCGP ในภาพรายสัปดาห์อ่อนตัวลงทดสอบแนวรับท่ีเส้นแนวโน้มหลักขาข้ึน แล้วเริ่มชะลอการอ่อนตัวลงบ้างแล้ว ขณะท่ีภาพรายวันราคาปรับตัวขึ้น Breakout แนวต้านท่ีเส้นแนวโน้มขาลงระยะสั้น และเริ่มสร้างกรอบแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้น-กลางใหม่แล้ว ขณะที่เครื่องมือทางเทคนิค MACD และ SSTO กลับมาให้สัญญาณซื้อ ทำให้คาดว่าราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ

EA….. ราคาเป้าหมาย 80 บาท

  • กลยุทธ์ของ EA มุ่งขยายธุรกิจไปยังระบบกักเก็บพลังงานและโครงการรถไฟฟ้า (EV Car) และ Charging Station Platform โดยช่วง 9M/64 กำไรของ EA ยังมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าและไบโอดีเซลเป็นหลัก
  • ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานมีการถือหุ้น (1) Amita Taiwan 71.2% และ (2) Amita Thailand 100% โดยโครงการผลิตแบตเตอรี่ Li-ion เฟส 1 กำลังผลิต 1 GWh อยู่ระหว่างการทดสอบระบบก่อนเริ่มการผลิตจริง คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตสำหรับระยะที่ 1 ได้ในช่วง 4Q/64 ซึ่งในช่วงปีแรกคาดจะเป็นการผลิตสำหรับ EV Bus และ EV Ferry เป็นหลัก
  • คาดการใช้รถไฟฟ้า (EV Passenger Car, Truck and Bus) จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดมียอดสะสมของ EV Passenger Car ในปี ’78 อยู่ที่ 6.4 ล้านคัน และคาด Battery demand 100 GWh ต่อปีในปีเดียวกัน
  • ส่วนโครงการเดินเรือไฟฟ้าได้ทดลองเดินเรือมาตั้งแต่ 1Q/64 และขยายเป็น 27 ลำใน 3Q/64 เบื้องต้นทาง EA จะเป็นผู้ดำเนินการเดินเรือไฟฟ้าเอง ส่วนโครงการรถบัสโดยสารไฟฟ้าขสมก. เป็นโอกาสที่ดีของ EV ที่จะเข้าไปรับงาน ปัจจุบันโรงงานผลิตที่ฉะเชิงเทราแล้วเสร็จในช่วง 3Q/64 และเริ่มส่งมอบรถบัสไฟฟ้าสำหรับภาคเอกชนได้ในช่วง 3Q/64 ประมาณ 100 คัน
  • โครงการสถานีชาร์จรถไฟฟ้าล่าสุดมีจำนวนที่ติดตั้งแล้ว 1,700 หัวชาร์จ กระจายอยู่เป็นจำนวน 440 พื้นที่ ทั้งในสถานีบริการน้ำมัน, office, ห้างสรรพสสินค้าและ modern trade ในที่ต่างๆ
  • ประเมินราคาเป้าหมายปี’65 เท่ากับ 80.00 บาท (P/E = 40 เท่า) แนะนำ “ซื้อ”

Technical View

EA

Recommend คำแนะนำ: ถือ / ซื้อสะสม

Support : 65.75 / 63.00 Resistance : 67.50 / 77.00

มุมมองทางเทคนิค: ราคา EA ในภาพรายสัปดาห์แกว่งตัวในกรอบ Descending Triangle ขึ้นประชิดแนวต้านในกรอบดังกล่าว ขณะท่ีภาพรายวันราคาอยู่ในกรอบทิศทางแนวโน้มหลักขาขึ้น เริ่มยกจุดต่ำสุดใหม่ ในภาพระยะกลางสูงขึ้นได้ พร้อมด้วยเครื่องมือทางเทคนิค MACD และ SSTO กลับมาให้สัญญาณซื้อ ทำให้คาดว่าราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ

GPSC….. ราคาเป้าหมาย 90 บาท

  • GPSC เป็น Energy Flagship ของกลุ่ม PTT ถือหุ้นโดย PTT: TOP: PTTGC ในสัดส่วน 43%: 21%: 10% ตามลำดับ กลยุทธ์ของ GPSC มุ่งขยายธุรกิจไปยังระบบกักเก็บพลังงานและโรงงานผลิต Battery สำหรับ E-bus และรถประเภทอื่น เช่น ตุ๊กๆ , รถกอล์ฟ เป็นต้น โดยที่ในช่วง 9M/64 กำไรของ GPSC ยังมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นหลัก
  • GPSC ตั้งเป้าธุรกิจ Energy Storage และ EV Value chain จะเป็น S-Curve ให้กับบริษัท และการที่ GPSC อยู่ภายใต้กลุ่ม PT ทำให้การประสาน EV Value chain ทำได้ง่าย เช่น 1) ระดับ EV Maker: การจับมือของ PTT กับ Foxconn และการทดลองผลิตรถ EV ยี่ห้อ Chery 2) ร่วมมือกับ PTT ในเรื่องของ Smart Station, EV quick charge และ Charging solution
  • GPSC ตั้งเป้าผลิต Battery 5-10 GWh ภายในปี 2573 ผ่าน 3 หน่วยธุรกิจย่อย คือ 1) หน่วยธุรกิจ Energy Storage สำหรับกักเก็บพลังงาน 2) หน่วยธุรกิจ E-bus และรถประเภทอื่น เช่น ตุ๊กๆ , รถกอล์ฟเป็นต้น และ 3) หน่วยธุรกิจ EV car Battery เพื่อผลิตแบตเตอรี่ป้อนให้กับผู้ผลิต EV car ในประเทศ และการลงทุนในต่างประเทศผ่านการถือหุ้นใน Axxiva ซึ่งเป็นผู้ผลิต Battery รายใหญ่ในประเทศจีน ซึ่งจะช่วย GPSC ทั้งในแง่การจัดหาวัตถุดิบและการตลาด ในขณะที่โรงงานผลิตแบตเตอรี่ G-Cell ที่ใช้เทคโนโลยีของ 24M เริ่มผลิตแล้วตั้งแต่ มิ.ย. 2564 โดยมีกำลังผลิตเริ่มต้น 30MWh ต่อปี
  • ประเมินราคาเป้าหมายปี ’65 เท่ากับ 90.00 บาท (DCF) แนะนำ “ซื้อ”

Technical View

GPSC

Recommend คำแนะนำ:ถือ/ทยอยซื้อ สะสมเมื่ออ่อนตัว

Support : 71.50 / 68.50 Resistance : 83.25 / 94.00

มุมมองทางเทคนิค: ราคา GPSC ในภาพรายสัปดาห์แกว่งตัวในกรอบ Systematic Triangle ปรับฐานระยะกลาง  ขณะท่ีภาพรายวันราคาอ่อนตัวลงทำจุดต่ำสุดใหม่ในภาพระยะสั้น สร้างกรอบแนวโน้มปรับฐานในทิศทางแนวโน้มขาลงระยะสั้น ทางด้านเครื่องมือทางเทคนิค MACD และ SSTO ยังคงอ่อนกำลังอยู่ ทำให้คาดว่าราคามีโอกาสแกว่งตัวปรับฐานได้ต่อ

JMT….. ราคาเป้าหมาย 55.50 บาท

  • JMT บริษัทบริหารหนี้อันดับ 1 ในตลาดสินเชื่อรายย่อย … ประกอบธุรกิจ 3 ประเภทดังนี้ (1) ธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ ซึ่งเป็นการรับจ้างสถาบันการเงินติดตามหนี้สินมีสัดส่วนรายได้ที่ 12% ของรายได้รวม (2) ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ซึ่งเป็นการซื้อหนี้เสียมาบริหาร ทั้งมีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน โดยมีหนี้ภายใต้การบริหารทั้งสิ้น 217,556 ล้านบาท หรือมี Market Share มากกว่า 80% ในตลาดบริหารที่ไม่มีหลักประกัน และมีสัดส่วนรายได้ที่ 82% ของรายได้รวม และ (3) ธุรกิจรับประกันภัยมีสัดส่วนรายได้ที่ 6% ของรายได้รวม
  • เตรียมกระสุนให้พร้อมสำหรับโอกาสที่มาถึง … จากมาตรการพิเศษที่ BOT ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ของ BOT เช่น มาตรการพักชำระหนี้ Soft loans เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ SME ทำให้ช่วยชะลอการตกชั้นเป็น NPL ของลูกหนี้ได้ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า BOT จะเริ่มกลับไปใช้มาตรการปกติในการจัดการปัญหา NPL ได้ในช่วง 1Q65 ซึ่งผลจะทำให้จะมีการขายลูกหนี้ NPL จากสถาบันการเงินออกมาจำนวนมาก ทำให้ JMT มีมติเพิ่มทุนแบบ RO มูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการซื้อหนี้ในปี ’65 ประมาณ 7,000 ล้านบาท และ 3,000 ล้านบาทนำไปชำระคืนหุ้นกู้ ซึ่งทำให้ JMT สามารถประหยัดดอกเบี้ยได้ถึงปีละ 100 ล้านบาท นอกจากนี้ JMT ยังตั้งเป้าหมายซื้อหนี้อีก 3 ปีข้างหน้าแบบก้าวกระโดด ~ 7,000 ล้านบาท, 15,000 ล้านบาท และ 20,000 ล้านบาท ตามลำดับ
  • เราแนะนำ “ถือ” … ราคาเป้าหมาย 55.50 บาท (อิงราคาเฉลี่ยจาก IAA Consensus)

Technical View

JMT

Recommend คำแนะนำ:ถือ/รอซื้อ เมื่อย่อตัว

Support : 47.50 / 45.00 Resistance : 56.00 / 60.00

มุมมองทางเทคนิค: ราคา JMT ในภาพรายสัปดาห์ ปรับตัวอยู่ในกรอบทิศทางแนวโน้มหลักขาข้ึน เริ่มเข้าใกล้แนวต้านที่กรอบแนวโน้มดังกล่าวแล้ว ขณะที่ภาพรายวันราคาปรับตัวขึ้น Breakout แนวต้านท่ีเส้นแนวโน้มขาระยะสั้น-กลาง ทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเข้าใกล้แนวต้านที่ Fibo. Expansions 138.2% แล้ว ทางด้านเครื่องมือทางเทคนิค MACD ยังคงให้สัญญาณซื้อ แต่ SSTO ตึงตัวในภาวะ Overbought ทำให้คาดว่าราคามีโอกาสอ่อนตัวลงได้บ้างในระยะสั้น

SINGER….. ราคาเป้าหมาย 50.20 บาท

  • SINGER รายงานกำไรสุทธิ 3Q64 ใกล้เคียงกับตลาดคาดไว้ … SINGER รายงานกำไรสุทธิ 3Q64 ที่ 165 ล้านบาท หรือ 0.33 บาท/หุ้น ลดลง 10% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 41% YoY จาก (1) รายได้จากการขายลดลง 33% QoQ และ 7% YoY ผลจากปัจจัยฤดูกาล เนื่องจากช่วงไตรมาส 2 จะเป็น High Season จากยอดขายแอร์ (2) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิทรงตัว QoQ แต่เพิ่มขึ้น 25% YoY จากสินเชื่อ C4C ที่เติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 102% ขณะที่ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น จากการออกหุ้นกู้เพื่อขยายสินเชื่อ และ (3) NPL ลดลงเหลือ 3.7% จากสินเชื่อ C4C (มี NPL ต่ำ) ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
  • Spin-off บริษัทลูก เพิ่มมูลค่าให้ SINGER … SINGER เตรียมนำ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ซึ่งเป็นบริษัทย่อย (SINGER ถือ 99.99%) เข้าจดทะเบียนฯ คาดเสร็จช่วงกลางปี ’65 โดย SGC เป็นผู้ให้สินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน จักรเย็บผ้า สินค้าเชิงพาณิชย์ แก่ลูกค้าของ SINGER  นอกจากนี้ยังเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ (C4C) เรามองว่าการนำ SGC เข้าจดทะเบียนจะทำให้ SINGER ได้ประโยชน์ (1) NIM เพิ่มขึ้นจาก Cost of Fund ที่ปรับลดลง (2) เพิ่มมูลค่าให้กับ SINGER และ (3) ความสามารถในการแข่งขัน SGC ในธุรกิจ C4C เพิ่มขึ้น จากต้นทุนทางการที่ลดลง
  • ได้กลุ่ม BTS เป็นเป็นผู้ถือหุ้นใหม่ช่วยสร้างการเติบโตในอนาคต … SINGER มีมติเพิ่มทุนแบบ PP ให้บริษัท ยู ซิตี้ จํากัด (มหาชน) – U ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ BTS จำนวน 197.10 ล้านหุ้น ราคา 36,3006 บาทต่อหุ้น ทำให้โครงสร้างหลังเพิ่มทุนกลุ่ม JMART สัดส่วนถือหุ้นจาก 35.47% เหลือ 26.46% และบ.ถือหุ้นที่ 24.90% โดยเรามองว่าการเข้ามาครั้งนี้ของกลุ่ม BTS จะทำให้ SINGER ได้รับประโยชน์ ดังนี้ (1) เพิ่มสินค้าใหม่เข้ามาขาย เช่น สินค้าแบรนด์ Xiaomi ผ่านทางบริษัท VGI (2) เพิ่มช่องทางการขายผ่านออนน์ผ่านทาง Kerry Express และ (3) Cost of Funding ลดลง จากการเพิ่มทุน
  • เราแนะนํา “ซื้อ” … ภายใต้ความน่าสนใจของ SINGER เป็นหุ้นที่กำลังเข้าสู่ระยะ Growth Stage จากการปลดล็อคด้านเงินทุน ทำให้สามารถเติบโตในธุรกิจ C4C ได้อีกมาก ราคาเป้าหมายที่ 50.20 บาท อิงราคาเฉลี่ยจาก IAA Consensus

Technical View

SINGER

Recommend คำแนะนำ: ถือ / ซื้อสะสม

Support : 43.75 / 40.50 Resistance : 46.50 / 50.00

มุมมองทางเทคนิค: ราคา SINGER ในภาพรายสัปดาห์ปรับตัวอยู่ในกรอบ Rising Wedge Pattern พยายามขึ้นทดสอบแนวต้านท่ีกรอบดังกล่าว ขณะที่ภาพรายวันราคาปรับตัวข้ึน Breakout แนวต้านท่ีเส้นแนวโน้มขาลง ทำจุดสูงสุดใหม่ ในภาพระยะสั้นพร้อมเครื่องมือทางเทคนิค MACD ให้สัญญาณซื้อ รวมทั้ง SSTO ยังสามารถยืนเหนือระดับ Overbought ทำให้คาดว่าราคามีโอกาสแกว่งตัวขึ้นได้ต่อ

KBANK….. ราคาเป้าหมาย 185 บาท

  • แนวโน้มกำไร 4Q64 อ่อนตัวทั้ง QoQ และ YoY … ภายใต้ปัจจัยจาก (1) แนวโน้มการตั้ง ECL เพิ่มขึ้น QoQ จากลูกหนี้ทั้ง Retail และ SME ที่อยู่ในโครงการพักชำระหนี้ตามนโยบายของ BOT เพื่อลดผลกระทบจากการ Lockdown ทยอยออกจากโครงการทำให้อาจจะมีลูกหนี้บางส่วนไหลลงไปเป็น NPL และธนาคารอาจจะมีการตั้งสำรองหนี้เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับมาตรการจัดชั้นลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 แบบใหม่ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ 31 มี.ค. 65 และ (2) OPEX เพิ่มขึ้นสูงสุด ซึ่งเป็นไปตามปัจจัยฤดูกาล
  • เรามีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการเติบโตของ KBANK ในปี ’65 … คาดกำไรสุทธิปี ’65 ที่ 39,937 ล้านบาทหรือ 16.86 บาท/หุ้น เติบโต 14% โดยตัว Drive หลักๆ มาจาก (1) ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังหยุดชะงักไปเนื่องจาก Covid-19 รวมไปถึงมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลัง Covid-19 ของรัฐบาล และ (2) ECL ปรับลดลงจากคุณภาพสินทรัพย์ คาดค่อยๆปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ และทางธนาคารเอง บวกกับเศรษฐกิจฟื้นตัวในปี ’65
  • คงคำแนะนำ “ซื้อ” … เราเลือก KBANK เป็น Top Pick สำหรับหุ้นกลุ่มธนาคาร จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวคาด KBANK จะได้รับประโยชน์มากที่สุดในกลุ่มธนาคาร พร้อมประเมินราคาเป้าหมายปี ’65 ที่ 185.00 บาท อิง PBV ที่ 0.9 เท่า โดยใช้วิธี GGM จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะปกติ หลังช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจาก Covid-19

Technical View

KBANK

Recommend คำแนะนำ: ถือ/รอซื้อ เมื่อย่อตัว

Support : 142.50 / 138.00 Resistance : 150.00 / 170.00

มุมมองทางเทคนิค: ราคา KBANK ในภาพรายสัปดาห์ราคาปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านสำคัญที่จุดสูงสุดก่อนหน้าในภาพระยะกลางแล้ว รวมทั้งพยายามยืนตัวเหนือ EMA 200 Week ในส่วนของภาพรายวันราคาอยู่ในทิศทางแนวโน้มขาขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่ในภาพระยะสั้น-กลางต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เครื่องมือทางเทคนิค MACD เริ่มส่งสัญญาณเกิดภาวะ Bearish Divergence พร้อม SSTO อยู่ในภาวะ Extreme Overbought แล้ว ทำให้คาดว่าราคามีโอกาสอ่อนตัวลงเพื่อปรับฐานได้ใหม่ในระยะถัดไป

SCB….. ราคาเป้าหมาย 133.00 บาท

  • มุ่งสู่กลุ่มบริษัทฟินเทคระดับภูมิภาคภายในปี 2025 … คาดจุดประสงค์หลักของการปรับโครงสร้างธุรกิจล่าสุด เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูก Disrupt จากกระแสฟินเทคที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ SCB ต้องปรับเปลี่ยน Position จากธุรกิจธนาคารในรูปแบบดั้งเดิมไปสู่บริษัทด้านฟินเทค โดย SCBX วัดธุรกิจออกเป็น 2 กลุ่ม (1) Cash Cow ได้แก่ ธุรกิจธนาคารเดิม และ (2) Growth ซึ่งจะเป็นธุรกิจด้านฟินเทคที่จะสร้างการเติบโตให้ SCBX ในอนาคต ได้แก่ SCB-CPG ซึ่งเป็น VC ลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชน, AISCB ทำด้าน Digital Lending, SCB 10X ลงทุนด้านดิจิทัลเทคโนโลยี และ DataX ทำด้าน Data analytic เป็นต้น โดย SCBX มุ่งเน้นให้บริษัทย่อยมีความเป็นอิสระในการบริหาร เพื่อให้สอดคล้องกับการเป็นบริษัทด้านฟินเทค รวมถึงนำ บริษัทย่อยเหล่านี้เข้า IPO เพื่อให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ และสร้าง Value กลับให้ SCBX
  • คาด Deal ประกาศซื้อกิจการ บริษัทบิทคับ ออนไลน์ มีแต่คุ้มกับคุ้ม … โดย SCB จะเข้าซื้อกิจการ บริษัทบิทคับ ออนไลน์ จำกัด สัดส่วน 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดมองเป็น Deal ที่คุ้มสำหรับ SCB ภายใต้มูลค่าของ บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หากเทียบกับ Coinbase ซึ่งเทรด PE ที่ 24.83 เท่า เราคาดกำไรสุทธิของบิทคับออนไลน์ปี’64 ~ 2,000 ล้านบาท ทำให้ได้มูลค่าที่ 49,660 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่า SCB ซื้อในราคา discount ถึง 29% และหลังซื้อกิจการจะทำให้ SCB มีกำไรเพิ่มขึ้นทันที่มากกว่า 1,000 ล้านบาท หรือ 0.30 บาท/หุ้น นอกจากนี้ยัง SCB ยังได้รับประโยชน์อื่นๆ เช่น ขยายฐานลูกค้าทั้ง SCBS และ Bitkub รวมถึงการเข้าสู่ตลาดคริปโตอย่างรวดเร็วแซงหน้าธนาคารอื่นๆ และบริการลูกค้าได้ครบวงจรมากขึ้น
  • แนะนํา “ซื้อเก็งกำไร” … ราคาเป้าหมายปี ’65 ที่ 133.00 บาท ใช้วิธี GGM ซึ่งเหมาะสมในช่วงเวลาปกติ โดยอิง PBV ที่ 1 เท่า จากราคาหุ้นปัจจุบันทำให้เหลือ Upside ไม่มากนัก เราจึงแนะนำเพียง “ซื้อเก็งกําไร”

Technical View

SCB

Recommend คำแนะนำ:ถือ/รอซื้อเมื่อย่อตัว

Support : 125.00 / 123.00 Resistance : 137.00 / 141.50

มุมมองทางเทคนิค: ราคา SCB ในภาพรายสัปดาห์ราคาอยู่ในทิศทางแนวโน้มขาขึ้น เริ่มฟื้นตัวข้ึนเข้าใกล้แนวต้านที่จุดสูงสุดก่อนหน้า และกรอบทิศทางแนวโน้มขาขึ้นอีกคร้ัง ขณะท่ีภาพรายวันราคาปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านท่ีจุดสูงสุดก่อนหน้าแล้วเร่ิมชะลอกำลังการปรับตัวข้ึนบ้างแล้ว พร้อมเครื่องมือทางเทคนิค MACD มีแนวโน้มส่งสัญญาณ Bearish Divergence เตือนการพักตัวระยะสั้น รวมทั้ง SSTO เริ่มอ่อนตัวหลังตึงตัวในภาวะ Extreme Overbought ทำให้คาดว่าราคามีโอกาสอ่อนตัวลงเพื่อปรับฐานใหม่ได้

- Advertisement -