หากเข้าใกล้ 1,500 จุด จะเป็นจุดควรเริ่มมองฝั่งกำไร
Market Update
ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 1.26% ปัจจัยหนุนหลักจากการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และมีแนวโน้มจะปรับลงต่อเนื่อง ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.47% นักลงทุนคาดการณ์อุปสงค์จะฟื้นตัวจากการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
Market Outlook
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้รายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.19 แสนราย ดีกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 2.3 แสนราย พร้อมกับรายงานยอดขายบ้านมือสองที่ 3.86 ล้านหลังคาเรือน แต่แย่กว่าที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 3.92 ล้านหลังคาเรือน แต่ทั้งนี้หลังจากทราบปัจจัยข้างต้นพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แกว่งทรงตัวระดับเดิม แต่ข้อสงสัยคืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มไม่ปรับลงทำจุดต่ำสุดใหม่ ซึ่งเหมือนเป็นการส่งสัญญาณจากตลาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเป็นแนว Soft Landing มากกว่าจะไปถึง Hard Landing ข้อมูลจาก CME FED Watch ล่าสุดให้น้ำหนัก 60% ที่ FED จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือน พ.ย. แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหากจะไม่เกิดภาวะ Hard Landing ก็ให้ระมัดระวังกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นมาต่อเนื่องจนทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบัน Valuation ค่อนข้างแพง หากใช้ Model มูลค่าตลาดหุ้นเทียบกับขนาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ พบว่าอยู่ที่ 2x และระดับดังกล่าวนับเป็น +2SD ตั้งแต่ปี 1950
สำหรับตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับขึ้นมาแข็งแกร่ง (+1.3%) และเห็นการซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติ (1 พันล้านบาท พร้อมกับเปิด Long TFEX 1 หมื่นสัญญา) และหากประเมินจากจุดต่ำสุดตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมา 14% ส่งผลให้ Earnings Yield Gap เมื่อเทียบกำไรปี 2024 เข้าใกล้ค่าเฉลี่ย อย่างไรก็ตาม หากนำ EPS ปี 2025 และปรับเป้าหมายของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร รัฐบาลไทยมาอยู่ที่ 2.6% เพื่อให้สอดคล้องกับดอกเบี้ยปรับลงเป้าหมายดัชนีจะอยู่ที่ 1,586 อย่างไรก็ตาม หากใช้ EPS ตาม Model ของเราเป้าหมายจะอยู่ที่ 1460 ซึ่งกึ่งกลางจะอยู่ที่ 1,520 จุด ดังนั้นหากตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวเข้าใกล้ 1,500 จุด (+/-) จะเป็นจุดที่เริ่มควรมองฝั่งทำกำไร คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม โดยสัปดาห์หน้ารอติดตามเงินเฟือสหรัฐฯ (ปัจจัยสำคัญ) ประเมิน SET INDEX เคลื่อนตัวในกรอบ 1445 – 1470 ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนหากดัชนีเข้าใกล้ 1,500 จุด จะเป็นจุดที่ควรมองฝั่งทำกำไร ส่วนหุ้นแนะนำช่วงนี้เน้นที่ Laggard Play และมีการเติบโตของกำไรที่ดีในปีนี้และปีหน้า ได้แก่ (ITC BCH BEM MINT CPALL WHA TU) อื่นๆ แนะนำกลุ่มพลังงาน (PTTEP) และโรงกลั่น (BCP SPRC TOP)
หุ้นแนะนำซื้อวันนี้
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 79.00 บาท)
คาดว่าแนวโน้มกำไร 2H24 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวการเพิ่มสินค้าประเภท Ready-to-eat และ Ready-to-drinks รวมถึงสินค้าใหม่ๆจาก SME เราเชื่อว่า SSSG ที่มีโอกาสอ่อนตัวลงตามปัจจัยฤดูกาลช่วง 3Q24 เป็นโอกาสในการเข้าสะสม
ITC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 29.25 บาท)
ภาพรวมในช่วง 2H24 ในแง่รายได้คาดว่าจะยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากการออกสินค้าใหม่ๆ ที่ยังมีอยู่รวมถึงปัญหาตู้สินค้าขาดแคลนได้ผ่านพ้นไปแล้วตั้งแต่ปลายเดือน ก.ค. ที่ผ่านมาทำให้การส่งสินค้าตั้งแต่เดือน ส.ค. กลับสู่ระดับปกติแล้ว ซึ่งล่าสุดผู้บริหารมีการแจ้งว่างวด 3Q24 มีคำสั่งซื้อที่แน่นอนแล้วประมาณ 90% ของเป้าที่ตั้งว่าจะเติบโต 18-19%YoY