Daily Focus: ลุ้นชนเป้า SET ปีนี้ที่ 1,470 จุด

2024 SET Target: 1470

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องและแข็งแกร่งกว่าที่คาด ดัชนีปิดบวกถึง 14.20 จุด ที่ระดับ 1,462.10 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นขึ้นเป็น 5.7 หมื่นลบ. ได้แรงหนุนจากจีนที่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี บรรจุภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง สถาบันในประเทศพลิกมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นบางๆ 249 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อเร่งขึ้นเป็น 2.6 พันลบ. (และ Long Index Futures สูงถึง 2.9 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งตัวในแดนบวกได้ต่อเนื่อง แต่คาดลดความร้อนแรงจากวานนี้ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว 1,455-1,470 จุด โดยยังคงได้ Sentiment หนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีนที่เปิดเผยวานนี้ ซึ่งจะเป็นบวกต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นของดัชนี คาดว่าจะเห็นการพักตัวสลับจากภาพรวมทางเทคนิคที่ยังคงมีสัญญาณ Overbought หลังจากปรับตัวขึ้นร้อนแรงในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ภาพระยะกลาง-ยาวยังคงค่อนข้างเป็นบวกจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงความคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายเศรษฐกิจจากรัฐบาลทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยวันนี้จะเป็นวันแรกที่จะเริ่มแจกเงิน 1 หมื่นบาทในเฟสแรก 1.45 แสนลบ.ต่อกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ คาดหนุนหุ้นในกลุ่ม Consumption Play ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสัปดาห์นี้ที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์และเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯเดือน ส.ค. ส่วนไทยจะมีรายงานตัวเลขส่งออกเดือน ส.ค. นอกจากนี้โฟกัสหลักคาดอยู่ที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯเดือน ก.ย. ปลายสัปดาห์หน้า เรามองการพักตัวของดัชนีในระยะถัดไปจะไม่ลึกโดยมีเม็ดเงินใหม่จากกองทุนวายุภักษ์ 1 ช่วยหนุนหรือจำกัด Downside ของ SET Index

กลยุทธ์ : เน้นลงทุนหุ้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 2H24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว

หุ้นเด่นเดือน ก.ย.: BDMS, CPALL, ICHI, MTC, NSL

FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CALL, CPN, GPSC, KCG, KTB, MTC, NSL, SHR, TU

หุ้นเด่น Finansia 25 ก.ย. 24 : PR9

  • แนะนำ “ซื้อ” ปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 27 บาท
  • เราคาดกำไร 3Q24 ที่ 178 ลบ. +28% q-q, +27% y-y ได้แรงหนุนจากทั้ง High Season หนุนผู้ป่วยไทย รวมถึงผู้ป่วยตะวันออกกลางที่เพิ่มขึ้นหลังขยายตลาดดังกล่าวตั้งแต่กลางปี หนุนสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติปรับขึ้นเป็น 16-17% ต่อรายได้รวม 
  • เราคาดตลาดตะวันออกกลางจะยังเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตได้ต่อเนื่องในระยะกลาง-ยาว เราปรับเพิ่มประมาณกำไรปี 2024-25 ขึ้น 2-5% เป็น 671 ลบ. +20% q-q และ 759 ลบ. +13% y-y ตามลำดับ ราคาหุ้นเทรด 2025PER เพียง 22.5 เท่า ต่ำกว่ากลุ่ม
  • แนวรับ 21.30-21 บาท แนวต้าน 21.90-22 บาท 

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนในภูมิภาคยังผสมผสาน สุทธิแล้วไหลเข้า US$115 ล้านเม็ดเงินไหลเข้าไต้หวัน US$294 ล้าน แต่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$213 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลเข้าสูงสุดที่ไทย US$78 ล้าน แต่พลิกไหลออกจากเวียดนามหนาแน่น US$99 ล้านแนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนมาในทิศทางไหลเข้าจากแรงหนุนของจีนที่เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) ITC ยกเลิกการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 30 ก.ย. นี้ ซึ่งเป็นวาระที่เกี่ยวกับการขออนุมัติให้เงินกู้ยืม 1.1 หมื่นลบ. แก่ TU เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทได้รับ feedback จากผู้ถือหุ้นหลายประเด็นเกี่ยวกับการให้เงินกู้ยืมดังกล่าว จึงขอยกเลิกการจัดประชุมเพื่อขออนุมัติ ขณะที่ TU ได้แจ้งตลาดเช่นกันว่า การไม่ได้รับเงินกู้ดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของบริษัทแต่อย่างใด เพราะมี Net D/E ต่ำเพียง 0.82x ณ สิ้น 2Q24 และมีวงเงินสินเชื่อที่สามารถเบิกถอนได้ราว 3 หมื่นลบ. และล่าสุดได้รับการคงอันดับเรทติ้งองค์กรจาก TRIS ที่ A+ และ Stable Outlook

(0) AEONTS คาดกำไรสุทธิ 2QFY24 ที่ 735 ลบ. +40% q-q แต่ -13% y-y โดยฟื้นตัวส่วนมากมาจากกำไรจากการขายหนี้ และ ECL ที่ลดลงเล็กน้อย ขณะที่คาดสินเชื่อทรงตัว q-q แต่ -2.2% y-y โดยสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิตยังชะลอตัว โดยเฉพาะบัตรเครดิตที่หดตัวต่อ จากอัตราการชาระเงินขั้นต่าที่สูงขึ้นเป็น 8% จาก 5% สวนทางกับสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และรถยนต์มือสองจะขยายตัวเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน ภาพรวมคุณภาพสินทรัพย์ยังทรงตัว พร้อมอัตราการตัดจำหน่ายหนี้ที่ชะลอตัวลง เราอยู่ระหว่างการทบทวนประมาณการกำไรสุทธิ FY24-26 เพื่อสะท้อนประมาณการเติบโตของสินเชื่อที่สูงเกินไป ราคาเป้าหมาย 145 บาท คงคำแนะนำ “ถือ”

(0) PTTGC ปรับขึ้นแรงวานนี้น่าจะมาจาก 3 เหตุผล 1) ได้ sentiment เขิงบวกจากจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพราะจีนเป็นตลาดหลักของสินค้าปิโตรเคมี 2) ต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลงตามราคาน้ำมันดิบจะทำให้ margin ดีขึ้น 3) ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยเสี่ยงด้านผลการดำเนินงานที่แย่จากวงจรปิโตรเคมีขาลงค่อนข้างมากแล้ว จนเทรดกันที่ระดับ PBV เพียง 0.4 เท่า และรอแค่การฟื้นตัวของธุรกิจปิโตรเคมี อย่างไรก็ดี ภาพรวมธุรกิจปีโตรเคมีขณะนี้ยังอยู่ตรงกันของวงจร ธุรกิจเพราะยังต้องเผชิญกับปัญหา Oversupply อีก 1-2 ปี แต่ยังได้ธุรกิจโรงกลั่นมาช่วยได้บ้าง ดังนั้นเชื่อว่าผลประกอบการปีนี้กลับเป็นบวก จากขาดทุนปีก่อน แต่กำไรยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติมาก และยังมีการตั้งด้อยค่าเงินลงทุนใน 3Q24 กว่า 9 พันลบ. แต่ตลาดก็รับรู้ไปแล้ว ระยะสั้นยังแนะนำเพียงเก็งกำไร

(+) หุ้นเป้าหมายกองทุนวายภักษ์ 1 ระบุให้ผลตอบแทน 3-9% ระยะเวลาลงทุน 10 ปี เรา คัดเลือกหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายโดยอ้างอิง หุ้นที่มี ESG Rating A ขึ้นไปสำหรับ SET100และ AA ขึ้นไปสำหรับหุ้นนอก SET100 โดยเน้นหุ้นที่มี Dividend Yield ราว 3% หรือสูงกว่า หรือหุ้นเติบโตดี (Dividend Yield อาจไม่ถึง 3%) ได้แก่ ADVANC AP BAM BBL BCH BDMS BJC CPALL CPN HMPRO ICHI INTUCH KBANK KTB MEGA MINT OSP SC SIRI TISCO WHA WHAUP PR9 DIF 3BBIF TFFIF AIMIRT CPNREIT LHHOTEL LHSC WHAIR

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 83.57 จุด หรือ +0.20% ปิดที่ 42,208.22 จุด โดยดาวโจนส์ และ S&P500 ยังคงปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยตลาดได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังจากจีนประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มเงินเฟ้อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก โดยหุ้นที่พึ่งพาตลาดจีน อาทิ กลุ่มสินค้าหรูหราและกลุ่มรถยนต์ปรับตัวขึ้น หลังธนาคารกลางจีนเปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก นำโดย Hang Seng futures ที่ปรับตัวขึ้นถึง 4% หลังการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนเมื่อวานนี้

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 32.65 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.83%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.19 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 71.56 ดอลลาร์/บาร์เรล ขานรับข่าวจีนประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง อาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในภูมิภาคแห่งนี้ ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 71.41 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.21%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 24.50 ดอลลาร์ หรือ 0.92% ปิดที่ 2,677.00 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ รวมทั้งสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 2,685.20 ดอลลาร์/บาร์เรลหรือ +0.31%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 877.12/ +0.20%

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

25 ก.ย.ไทย: ส่งออก (ส.ค.)
26 ก.ย.สหรัฐ: Durable Goods Orders (ส.ค.), Fed Chair Powell Speech
27 ก.ย.สหรัฐ: Core PCE Price Index (ส.ค.)
30 ก.ย.จีน: NBS Manufacturing PMI (ก.ย.)
1 ต.ค.ยูโรโซน: เงินเฟ้อ (ก.ย.)

สหรัฐ: ISM Manufacturing PMI (ก.ย.), JOLT Job Quits (ส.ค.)

- Advertisement -