Daily Focus: ได้ Sentiment บวกจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง
2024 SET Target: 1470
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงในช่วงต้นชั่วโมงการซื้อขาย หลุดแนวรับ 1,440 จุด แต่มีแรงซื้อหนุนให้ดัชนีทยอยฟื้นตัวขึ้น ก่อนพลิกปิดบวกได้เล็กน้อย 1.52 จุด ที่ระดับ 1,444.25 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นขึ้นเป็น 6.4 หมื่นลบ. โดยตลาดจับตาสถานการณ์สงครามตะวันออกกลางและตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 แต่บางลงเหลือ 1 พันลบ. ขณะที่สถาบันในประเทศยังเป็นฝ่ายซื้อสุทธิต่อเนื่องและเร่งขึ้นเป็น 3.9 พันลบ. (สถานะสุทธิใน Index Futures ทรงตัวไม่มีนัยยะ)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index มีโอกาสฟื้นตัว Sideways Up หลังยืนปิดสัปดาห์ไม่หลุดแนวรับ 1,440+- จุด รวมถึงได้อานิสงส์จากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นบวกมากขึ้น หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯเดือน ก.ย. ออกมาสูงกว่าคาดมากที่ 2.54 แสนตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานลดลงเหลือ 4.1% ทำให้ตลาดคลายกังวลความเสี่ยงเกิด Recession รวมถึงปรับคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ FED เหลือเพียง 50 bps ในช่วงที่เหลือของปีนี้จากก่อนหน้าที่ 75 bps ส่งผลให้ Dollar Index และ Bond Yield ขยับตัวขึ้น และเม็ดเงินไหลเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงสูง โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามสัปดาห์นี้นอกเหนือจากสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง ยังมีตัวเลขเงินเฟ้อ CPI PPI สหรัฐฯเดือน ก.ย. ช่วงปลายสัปดาห์หากออกมาใกล้เคียงหรือต่ำกว่าคาด และยังมีแนวโน้มชะลอ เรายังมองบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.ย.คาด Headline +0.78% y-y Core +0.75% y-y ขยับตัวขึ้นจากเดือนก่อนและเข้าหากรอบล่างของเป้าหมายที่ 1-3% รวมถึงยังต้องติดตามสถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือว่าจะรุนแรงและขยายวงกว้างขึ้นหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองเชิงบวกระยะกลาง-ยาวต่อตลาดหุ้นไทยหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวใน 4Q24-2025 ขณะที่ Downside ถูกจำกัดจากเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ 1 ที่ทยอยรับ
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่คาดแนวโน้มกำไร 3Q24 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน ต.ค. : AOT, BCH, CBG, CPN, KCG
FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CALL, CPN, GPSC, KCG, KTB, MTC, NSL, SHR, TU
หุ้นเด่น Finansia 7 ต.ค. 24 : ICHI
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 19 บาท
- เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรปกติ 3Q24 ที่คาดที่ 380 ลบ. +8% q-q, +16% y-y สวนทางฤดูกาล หนุนจากยอดขายชาเขียวที่ยังดีหนุนอัตราการใช้กำลังการผลิตให้ยังเต็มระดับ 80% ขณะที่ค่าใช้จ่ายลดลงทำให้ Margin ยังดี
- เราคาดกำไรปี 2024 ทื่ 1.35 พันลบ. +23% y-y ราคาหุ้นปัจจุบันเทรดที่ระดับ 2024PER เพียง 15 เท่า ต่ำเป็นอันดับต้นๆของกลุ่มเครื่องดื่ม และคาดให้ Dividend Yield ทั้งปีสูงราว 7% ช่วยจำกัด Downside
- แนวรับ 15.50 บาท แนวต้าน 16.40//17 บาท
Fund Flow : เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคสุทธิ US$652 ล้าน โดยกระจุกตัวที่ไต้หวัน US$666 ล้าน แต่ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$90 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินส่วนใหญ่ยังไหลออกทั้งอินโดนีเซีย ไทย และเวียดนาม ประเทศละ US$23-33 ล้าน มีเพียงฟิลิปปินส์ที่ไหลเข้าบางๆ US$11 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะพลิกมาไหลเข้าหลังตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯออกมาแข็งแกร่งกว่าคาดมาก ลดความกังวลเรื่อง Recession และหนุนเม็ดเงินเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยง
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) JPARK คาดกำไรปกติ 3Q24 ที่ 29 ลบ. +10% q-q- และ +29%y-y แตะระดับสูงสุดรายไตร์มาสใหม่ จากโครงการอาคารที่จอดรถ-รพ.พระนั่งเกล้าเริ่มรับรู้รายได้เป็นไตรมาสแรก ส่งผลให้จำนวนช่องจอดธุรกิจ PS เพิ่มขึ้น 532 ช่องจอด และจำนวนชั่วโมงในการจอดต่อช่องจอด ปัจจุบันเพิ่มขึ้น อีกทั้งธุรกิจ PMS เริ่มรับรู้รายได้โครงการที่จอดรถบริเวณสนามบินขอนแก่นและ ที่จอดรถโครงการ One Bangkok รวมกว่า 2,500 ช่องจอด ยังคาดกำไรสุทธิปี 2024 ที่ 102 ลบ. +63% y-y หากกำไรของโครงการรพ.พระนั่งเกล้าดีกว่าคาด จะเป็น upside ต่อประมาณการ คงราคาเป้าหมาย 7.20 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(-) ERW คาดกำไรปกติ 3Q24 ที่ 128 ลบ. +2% q-q แต่ -12% y-y เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ผู้เสียชีวิตในห้องพักที่โรงแรม Grand Hyatt Erawan และดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นเราคาด RevPAR ของ Non-Hop Inn จะเพิ่มขึ้นเพียง 1-2% y-y ต่ำกว่า 9% y-y ใน 1H24 เราปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2025-26 เล็กน้อยราว 3% เพื่อสะท้อนค่าปรับปรุงโรงแรม Grand Hyatt Erawan และปรับใช้ราคาเป้าหมายเป็นปี 2025 ที่ 6.50 บาท อย่างไรก็ดี Erawan Hop Inn มีพันธมิตรธุรกิจใหม่อย่าง Lapis Hospitality ที่มีแผน spin-off ปี 2027 ขณะที่ระยะ สั้นราคาหุ้นอาจ Overhang จากการต่อสัญญาระยะยาว์ของโรงแรม Grand Hyatt Erawan ที่ยังไม่ชัด ยังแนะนำ “ซื้อ”
(+) MPJ.IPO ใหม่ เป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าแบบครบวงจร ทั้งทางบก ทางทะเลและอากาศ อยู่บนทำเลที่ตั้งสะดวกใกล้เคียงท่าเรือแหลมฉบัง และขนส่งสินค้าไปยังเส้นทางหลักสู่บริเวณลาดกระบังที่เป็นจุดศูนย์กลางในการรับส่งสินค้าเพื่อกระจายไปทั่วประเทศ และการให้บริการลานตู้คอนเทนเนอร์ให้กับกลุ่มสายเรือระดับโลก และยังเป็นพันธมิตรร่วมทุนกับสายเรือ OOCL รายใหญ่ของจีน เงินที่ได้จาก IPO ส่วนใหญ่นำไปลงทุนขยายธุรกิจคลังสินค้าให้เช่าคาดกำไรสุทธิปี 2024-26 +27% y-y CAGR เราประเมินราคาเป้าหมายปี 2025 MPJ ที่ 8 บาท (Finansia เป็นร่วมผู้จัดจำหน่ายฯ)
(+) หุ้นเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์ 1 ระบุให้ผลตอบแทน 3-9% ระยะเวลาลงทุน 10 ปี เราคัดเลือกหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายโดยอ้างอิง หุ้นที่มี ESG Rating A ขึ้นไปสำหรับ SET100และ AA ขึ้นไปสำหรับหุ้นนอก SET100 โดยเน้นหุ้นที่มี Dividend Yield ราว 3% หรือสูงกว่า หรือหุ้นเติบโตดี (Dividend Yield อาจไม่ถึง 3%) ได้แก่ ADVANC AP BAM BBL BCH BDMS BJC CPALL CPN HMPRO ICHI INTUCH KBANK KTB MEGA MINT OSP SC SIRI TISCO WHA WHAUP PR9 DIF TFFIF CPNREIT LHHOTEL
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 341.16 จุด หรือ +0.81% ปิดที่ 42,352.75 จุด หลังจากการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐฯ ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่วิตกว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะอ่อนแอเกินไป
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก เนื่องจากข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐฯ ได้คลายความวิตกของนักลงทุนเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงในรอบสัปดาห์นี้ เนื่องจากความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลางทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก นำโดยตลาดนิกเกอิเปิดบวกถึง 2% โดยในสัปดาห์นี้ มีปัจจัยสำคัญภายในภูมิภาคคิด Rate decisions ของธนาคารกลางเกาหลีใต้, นิวซีแลนด์, และอินเดีย
(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 33.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +0.47%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 67 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 74.38 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบกว่า 1 ปี โดยได้แรงหนุนจากผลกระทบที่เพิ่มขึ้นจากสงครามในตะวันออกกลาง แม้ว่าการเพิ่มขึ้นของราคา น้ำมันได้ถูกจำกัด เนื่องจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ ได้เตือนให้อิสราเอลหลีกเลี่ยงการโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันของอิหร่าน ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 74.07 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.42%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 11.40 ดอลลาร์ หรือ 0.43% ปิดที่ 2,667.80 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งเกินคาดได้ทำลายความหวังที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างมากในเดือนพ.ย. ในขณะที่เช้านี้ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 2,669.10 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.05%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 877.41/ –
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
7 ต.ค. | ไทย: เงินเฟ้อ (ก.ย.) |
8 ต.ค. | สหรัฐ: Fed Bostic Speech แคนนาดา: ส่งออก (ส.ค.) |
9 ต.ค. | สหรัฐ: FOMC Minutes |
10 ต.ค. | สหรัฐ: เงินเฟ้อ (ก.ย.) IMF: World Economic Outlook |
11 ต.ค. | สหรัฐ: Core PPI (ก.ย.) |