Daily Focus: Sentiment ต่างประเทศกลับมา Risk On // น้ำมันดิบร่วง

2024 SET Target: 1470

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัว Sideways โดยย่อตัวช่วงเปิดตลาด ก่อนจะฟื้นขึ้นมายืนแดนบวกได้ตลอดวัน อย่างไรก็ตาม มีแรงขายช่วงท้าย ทำให้ดัชนีปิดบวกเพียง 0.60 จุด ที่ระดับ 1,452.80 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นขึ้นเป็น 5.5 หมื่นลบ. นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 แต่บางลงเหลือเพียง 343 ลบ. ขณะที่สถาบันในประเทศยังเป็นฝ่ายซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 อีก 2.3 พันลบ. (นักลงทุนต่างชาติ Long Index Futures เร่งขึ้นเป็น 1.46 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index ภาพรวมในช่วงนี้ยังคงแกว่งตัวในกรอบหลัก 1,440-1,470 จุด โดยวันนี้มีโอกาสแกว่ง Sideways Up เข้าหาระดับ 1,460+- จุด หนุนจากบรรยากาศการลงทุนที่พลิกมาเป็นบวกจากที่มีแรงเทขายวันก่อนหน้า ราคาน้ำมันดิบพลิกมาปรับตัวลงแรง 5% โดยล่าสุด Brent กลับลงมาที่ US$77 ต่อบาร์เรล โดยตลาดยังคงติดตามสถานการณ์สงครามและการตอบโต้ของอิสราเอลต่ออิหร่านอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่ชัดเจน ตลาดมองว่า FED จะลดดอกเบี้ย 25 bps ในการประชุมเดือน พ.ย. จากก่อนหน้าที่ประเมินโอกาสลดถึง 50 bps หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแข็งแรง ด้าน Bond Yield ขยับลงเล็กน้อยแต่ยังอยู่ที่ระดับใกล้เคียง 4% ทั้งอายุ 2 และ 10 ปี ส่วนปัจจัยในประเทศเรายังมองปัจจัยหลักที่ต้องติดตามยังคงเป็นสถานการณ์น้ำท่วมว่าจะลุกลามขยายวงมายังภาคกลางหรือไม่ แต่จากข้อมูลปัจจุบันมองว่าผลกระทบจะต่ำกว่าปี 2011 มาก โดยอิงจากปริมาณน้ำมันเขื่อนต่างๆที่ยังไม่วิกฤต รวมถึงพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจอย่างนิคมอุตสาหกรรมยังมีความไม่สูง หากปริมาณน้ำฝนในระยะถัดไปไม่ได้ซ้ำเติมสถานการณ์ เชื่อว่าภาพรวมจะเริ่มคลี่คลายในเดือนนี้ และฟื้นตัวในเดือน พ.ย. เป็นต้นไป เรายังคงมุมมองเชิงบวกระยะกลาง-ยาวต่อตลาดหุ้นไทยหนุนจากนโยบายกระตุ้นและแนวโน้มเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวใน 4Q24-2025 ขณะที่ Downside ถูกจำกัดจากเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ 1 ที่ทยอยซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่คาดแนวโน้มกำไร 3Q24 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว

หุ้นเด่นเดือน ต.ค. : AOT, BCH, CBG, CPN, KCG

FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CALL, CPN, GPSC, KCG, KTB, MTC, NSL, SHR, TU

หุ้นเด่น Finansia 9 ต.ค. 24 : CPALL

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 79 บาท
  • โมเมนตัมกำไรปกติ 3Q24 คาดยังแข็งแกร่ง เบื้องต้นคาดที่ 5.9 พันลบ. –4% q-q, +38% y-y หนุนจาก SSSG ที่คาดเป็นบวก 3% ทั้ง 7-eleven Makro และ Lotus’s ขณะที่ Margin คาดยังอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่อง 
  • ประมาณการกำไรปี 2024-25 ปัจจุบันที่ 2.36 หมื่นลบ. +30% y-y และ 2.74 หมื่นลบ. +16% y-y อาจมี Upside เล็กน้อย ราคาหุ้นยังเทรด Valuation น่าสนใจที่ 2025PER ราว 21.4 เท่า 
  • แนวรับ 64-63.50 บาท แนวต้าน 66.50-67 บาท

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนพลิกมาไหลออกจากภูมิภาคหนาแน่นสุทธิ US$1,225 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$860 ล้าน ตามด้วยเกาหลีใต้ US$348 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลออกเกือบทุกประเทศบางๆประเทศละ US$5-11 ล้าน มีเพียงฟิลิปปินส์ที่ยังคงไหลเข้าเล็กน้อย US$8 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ามีโอกาสพลิกมาไหลเข้าหลังเม็ดเงินไหลกลับเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น น้ำมันดิบปรับตัวลงแรง โดยนักลงทุนยังติดตามสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและดอกเบี้ยสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง

ประเด็นสำคัญวันนี้

(0) ภาวะน้ำท่วมกระทบเศรษฐกิจในวงจำกัด สถานะการณ์น้ำท่วมในปี 2024 กระทบ 23 จังหวัดทางภาคเหนือและอิสานปัจจุบัน คาดจะมีผลกระทบต่อ GDP ไทยประมาณ 0.3% ต่ำกว่าปี 2011 เป็นอย่างมาก และถูกชดเชยได้หมดจากมาตราการแจกเงิน 1.45 แสนล้านบาท ให้กับกลุ่มเปราะบาง ส่วนผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน รวมถึง SET ยังคงจำกัด โดยเรายังคาด EPS ปี 2024 ของ SET ที่ 90 บาทต่อหุ้น +15% y-y

(+) CPF คาดกำไรปกติ 3Q24 ที่ 7.2 พันลบ. +4.7% q-q และพลิกจากขาดทุนใน 3Q23 แตะระดับสูงสุดในรอบ 16 ไตรมาส ได้แรงหนุนจากราคาเนื้อสัตว์ที่ปรับขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับลงส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ราคาเนื้อสัตว์ 4QTD เริ่มปรับลง โดยราคาไก่ที่ปรับลง 10% q-q และราคาหมูปรับลงเล็กน้อย จากเทศกาลกินเจและภาวะน้ำท่วม และราคาหมูจีนปรับลง 11% q-q ดังนั้นจึงคาดกำไร 4Q24 น่าจะชะลอตัว q-q จากราคาเนื้อสัตว์ที่ปรับลงและเป็น Low season เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2024 +26% เป็น 1.7 หมื่นลบ. และปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2025 ลง 16% เป็น 1.4 หมื่นลบ. เพื่อสะท้อนสมมติฐานอย่างระมัดระวังต่อแนวโน้มราคาเนื้อสัตว์ที่ปรับลง ปรับใช้ราคาเป้าหมายเป็นปี 2025 ที่ 28 บาท แนะนำ “ซื้อ”

(+) กลุ่มท่องเที่ยว Update นักท่องเที่ยวสัปดาห์ที่ 40 (30 ก.ย. – 6 ต.ค.) ตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 7% w-w และ 28% y-y อยู่ที่เฉลี่ย 9.1 หมื่นคน/วัน จาก golden week ของประเทศจีน และคิดเป็นการฟื้นตัวประมาณ 85-90% pre-Covid นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเป็น อันดับ 1 ที่ 2.3 หมื่นคน/วัน (+34% w-w และ +114% y-y) สูงสุดในรอบ 8 สัปดาห์ คิดเป็นการฟื้นตัวประมาณ 75-80% pre-Covid โดยรวมนักท่องเที่ยวจีนในสัปดาห์ก่อน golden week และช่วง golden week ดีกว่าปีที่แล้วประมาณ 54% ส่วนกลุ่ม non-Chinese โต 13% y-y และ ฟื้นตัวคิดเป็น 90-95% pre-Covid โดยนักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้และลาว เพิ่มขึ้น 20% w-w และ 7% w-w ตามลำดับ โดยกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬาคาดว่านักท่องเที่ยวจะทรงตัวในสัปดาห์หน้า

(+) หุ้นเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์ 1 ระบุให้ผลตอบแทน 3-9% ระยะเวลาลงทุน 10 ปี เราคัดเลือกหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายโดยอ้างอิง หุ้นที่มี ESG Rating A ขึ้นไปสำหรับ SET100 และ AA ขึ้นไป สำหรับหุ้นนอก SET100 โดยเน้นหุ้นที่มี Dividend Yield ราว 3% หรือสูงกว่า หรือหุ้นเติบโตดี (Dividend Yield อาจไม่ถึง 3%) ได้แก่ ADVANC AP BAM BBL BCH BDMS BJC CPALL CPN HMPRO ICHI INTUCH KBANK KTB MEGA MINT OSP SC SIRI TISCO WHA WHAUP PRO DIF TFFIF CPNREIT LHHOTEL

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 126.13 จุด หรือ +0.30% ปิดที่ 42,080.37 จุด โดยได้ปัจจัยบวกจากการชะลอตัวของราคาน้ำมันและแรงซื้อที่ส่งเข้าหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2567 ของบริษัทจดทะเบียน

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ เนื่องจากการขาดรายละเอียดใหม่ ๆ เกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนได้กระตุ้นแรงขายหุ้นกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับจีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก อาทิ หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ และกลุ่มสินค้าหรูหรา

(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก สอดคล้องกับทิศทางของตลาดสหรัฐฯ และรีบาวน์ขึ้นจากเมื่อวานนี้

(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 33.56 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +0.23%

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 3.57 ดอลลาร์ หรือ 4.63% ปิดที่ 73.57 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานข่าวว่ากลุ่มฮิซบอลเลาะห์และอิสราเอลอาจจะทำข้อตกลงหยุดยิง ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 73.92 ดอลลาร์/บาร์เรลหรือ +0.48%

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 30.60 ดอลลาร์ หรือ 1.15% ปิดที่ 2,635.40 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยตลาดยังคงถูกกดดันจากการที่นักลงทุนลดความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนพ.ย. หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 2,641.10 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.22%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 876.26 –

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

9 ต.ค.สหรัฐ: FOMC Minutes
10 ต.ค.สหรัฐ: เงินเฟ้อ (ก.ย.)

IMF: World Economic Outlook

11 ต.ค.สหรัฐ: Core PPI (ก.ย.)
13 ต.ค.จีน: เงินเฟ้อ (ก.ย.), ส่งออก (ก.ย.), New Yuan Loan (ก.ย.)
14 ต.ค.OPEC monthly report
- Advertisement -