“โฮมโปร” เผยกำไรสุทธิ 4,776.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.41 ล้านบาท หรือ 0.26% จากผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน

“โฮมโปร” หรือ HMPRO เผยรายได้รวม 9 เดือน 54,293.93 ล้านบาท ลดลง 351.21 ล้านบาท หรือ 0.64% โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 4,776.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.41 ล้านบาท หรือ 0.26% โดยรายได้ปรับตัวลดลงดังกล่าว มีผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว การจัดตั้งรัฐบาลและการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า ซึ่งมีผลต่ออัตราความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมถึงผลกระทบจากฤดูฝนซึ่งก่อให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน ส่งผลให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการที่สาขาลดลง

นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 54,293.93 ล้านบาท ลดลง 351.21 ล้านบาท หรือ 0.64% ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 50,991.79 ล้านบาท ลดลง 410.74 ล้านบาท หรือ 0.80% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยการปรับตัวลดลงดังกล่าวมีผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว การจัดตั้งรัฐบาลและการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า ซึ่งมีผลต่ออัตราความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมถึงผลกระทบจากฤดูฝนซึ่งก่อให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน ส่งผลให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการที่สาขาลดลง

ทั้งนี้บริษัทฯ ยังมีรายได้ค่าเช่า จำนวน 1,376.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.55 ล้านบาท หรือ 0.11% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการจัดเก็บรายได้ค่าเช่าพื้นที่เช่าในสาขาของโฮมโปรและศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจได้มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ ยังมีรายได้อื่น จำนวน 1,925.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.99 ล้านบาท หรือ 3.10% โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าทั้งในช่องทางสาขาและช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

นายวีรพันธ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความกดดันในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งส่งผลในเรื่องของการผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจ รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่มีผลกระทบต่อกำลังซื้อและความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภค ทำให้เกิดความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนกันยายน ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้น โดยภายหลังการจัดตั้ง เริ่มมีการเบิกจ่ายงบประมาณและออกนโยบาย “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ” โดยมอบเงิน 10,000 บาทแก่ประชาชนผู้มีสิทธิ เพื่อกระตุ้นการบริโภคและเพิ่มเงินสะพัดหมุนเวียนในประเทศ จึงอาจเกิดกำลังซื้อใหม่ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าอาจส่งผลดีต่อยอดขายของบริษัทฯในอนาคต โดยเฉพาะจากกลุ่มลูกค้ารายย่อยของฝั่งธุรกิจเมกาโฮม

ในช่วงไตรมาส 3 ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ตรงกับฤดูฝนของประเทศไทย โดยปีนี้มีค่าเฉลี่ยฝนตกมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จึงส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อความสะดวกในการเข้ามาใช้บริการของลูกค้าที่สาขา โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ยังคงได้รับผลกระทบในเรื่องของน้ำท่วม โดยคาดว่าอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเดือนตุลาคม ซึ่งภายหลังระดับน้ำลดลงและเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ลูกค้าจะมีการจับจ่ายใช้สอยอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำความสะอาดในระยะแรก และอุปกรณ์เพื่อการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยในลำดับถัดไป ทำให้ยอดขายของสาขาที่ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่น้ำท่วมปรับตัวสูงขึ้นหลังน้ำลง

อย่างไรก็ดี ในระหว่างไตรมาส 3 บริษัทฯ ยังคงมีการกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง ผ่านการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ได้แก่ การจัดงาน HomePro Super Expo ในวันที่ 25-29 กรกฎาคม 2567 ที่โฮมโปรทุกสาขาทั่วประเทศและช่องทางออนไลน์ รวมถึงการจัดกิจกรรม Double Day ในทุกๆเดือน ที่ช่องทางสาขา HomePro Online Website และ Marketplace

“สำหรับการขยายสาขาในไตรมาสที่ 3 บริษัทฯ ได้มีการเปิดสาขาเพิ่ม 3 แห่ง ได้แก่ โฮมโปร สาขาหนองคาย โฮมโปร สาขา ระยอง (ทับมา) และเมกาโฮม สาขา ระยอง (ทับมา) จึงทำให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี2567 บริษัทฯ มีโฮมโปร 92 สาขา โฮมโปรเอส 5 สาขา เมกาโฮม 29 สาขา และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 7 สาขา” นายวีรพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย

- Advertisement -