Daily Focus: พลิกฟื้นตัวแรงเข้าใกล้แนวต้าน 1,470+- จุด แต่คาดยังไม่ผ่าน

2025 SET Target: 1600

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ฟื้นตัวได้แข็งแกร่งกว่าที่เราประเมินอย่างมากในระยะสั้น ดัชนีปิดบวกได้ถึง 18.84 จุด ที่ระดับ 1,466.04 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นขึ้นเล็กน้อย 4.3 หมื่นลบ. ภาพรวมหุ้นปรับขึ้นค่อนข้างกระจายตัว แต่โดดเด่นที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีรวมถึง ADVANC สถาบันในประเทศเป็นฝ่ายซื้อสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องและเร่งขึ้นเป็น 2.2 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิบางลงเหลือ 437 ลบ. (และพลิกมา Long Index Futures 1.6 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะลดความร้อนแรงหลังจากพุ่งขึ้นวานนี้ รวมถึงมีแรงกดดันจากบรรยากาศการลงทุนต่างประเทศที่เป็นลบ หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงขายรุนแรงโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เรามอง SET Index จะยังอยู่ในกรอบหลักที่ 1,440-1,470 จุด ระหว่างรอดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯรวมถึงการประกาศกำไรบจ. 3Q24 ช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า ส่วนระยะสันตัวเลขเงินเฟ้อ PCE ดื่อน ก.ย. สหรัฐฯออกมาใกล้เคียงคาด +0.3m-m เร่งขึ้นเล็กน้อยในเดือนก่อนหน้า ขณะที่คืนนี้รอติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ต.ค. (ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 1.13 แสนตำแหน่ง) และ ISM ภาคการผลิต (ตลาดคาดเร่งขึ้นเป็น 47.6) เรายังคาดหวังเชิงบวกระยะกลาง-ยาวต่อการฟื้นตัวของดัชนี โดยเฉพาะหากกำไร 3Q24 ไม่ได้ต่ำกว่าคาดและไม่สร้าง Downside ต่อ EPS ของ SET ปี 2024-25 อย่างมีนัยยะ มีโอกาสเห็นการทยอยฟื้นตัวเข้าหาก SET Target ปี 2025 ที่ 1,600 จุด ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เรายังมองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Domestic Play โดยเฉพาะภาคการบริโภค ได้แก่ ไฟแนนซ์ ค้าปลีก อาหารเครื่องดื่ม เป็นต้น ซึ่งจะได้อานิสงส์จากทั้งดอกเบี้ยที่ขยับลงและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากครม. ขณะที่ Downside คาดยังคงถูกจำกัดจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนวายุภักษ์

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่คาดแนวโน้มกำไร 3Q24 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว

หุ้นเด่นเดือน พ.ย. : MAGURO, MTC, OSP, SFLEX, VIH

FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CALL, CPN, KCG, KTB, MTC, NSL, SFLEX, SHR, TU

 หุ้นเด่น Finansia 1 พ.ย. 24 : NSL

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 43 บาท
  • เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อโมเมนตัมกำไร 3Q24 คาดที่ 135 ลบ. +3% q-q, +84% y-y สวนทางฤดูกาล โดยคาดว่าจะยังโตแกร่ง +3% q-q และ +20% y-y แม้เป็น Low Season หนุนจากสินค้าใหม่แซนวิชทาร์ตไข่ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมาก
  • บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2025 โต Double Digit หนุนจากทั้งการออกสินค้าใหม่และโตตามการขยายสาขาของ 7-Eleven รวมถึงบริษัทลูกที่เติบโตและช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้นอกเหนือจาก 7-Eleven เราคาดกำไรปี 2024-25 +57% y-y และ +13% y-y ตามลำดับ Valuation ไม่แพง เทรด 2025PER ที่ 16 เท่าและให้ Dividend Yield ราว 3.5% 
  • แนวรับ 32.50//31.50 บาท แนวต้าน 34//35 บาท 

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคสุทธิต่อเนื่องอีก US$631 ล้าน ยังคงนำโดยเกาหลีใต้ US$510 ล้าน ขณะที่ไต้หวันปิดทำการ ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินยังคงไหลออกทุกประเทศแต่ภาพรวมเบาบางลง แต่ไหลออกจากเวียดนามเร่งขึ้นเป็น US$64 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนไปในทิศทางไหลออกจาก Sentiment ฝั่งสหรัฐฯที่เป็นลบ ขณะที่ตลาดจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ คืนนี้

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) TFG คาดกำไร 3Q24 ที่ 1.27 พันลบ. +49% q-q และพลิกกลับจากขาดทุนใน 3Q23 หลักๆมาจากราคาหมูและไก่ที่ปรับขึ้นทั้งในไทยและเวียดนาม และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ธุรกิจค้าปลีกมีรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 7 ไตรมาส แนวโน้มกำไร 4Q24 น่าจะอ่อนลง q-q จากปัจจัยฤดูกาล และราคาไก่เริ่มปรับตัวลง คงประมาณกำไรสุทธิปี 2024 ที่ 3.1 พันลบ. พลิกจากขาดทุนในปีก่อน และปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 5.20 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(0) WHAUP คาดกำไรปกติ 3Q24 ที่ 469 ลบ. +51% q-q, -1% y-y จากทั้งรายได้จากการขายน้ำที่เพิ่มขึ้นตามโรงงานเปิดใหม่เพิ่มขึ้นในนิคมฯ และมีรายได้จากการใช้น้ำเกินกว่าที่จัดสรร อีกทั้งส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Dough River เวียดนามเพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจไฟฟ้าคาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง จากทั้งโรงไฟฟ้า IPP ที่ยังรับรู้ต้นทุนถ่านหินที่สูง และธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP คาดมี Margin ที่แคบลงจากต้นทุนก๊าซฯ ปรับขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ค่าไฟคงเดิม แต่จะมี FX loss ทำให้ 3Q24 มีกำไรสุทธิ 301 ลบ. -10% q-q และ -42% y-y คงคาดกำไรสุทธิปี 2024-26 +10% y-y CAGR ราคาหุ้นปรับขึ้นสูงกว่าราคาเป้าหมาย 5.30 บาท จึงปรับลดคำแนะนำเป็น “ถือ”

(0) MEGA คาดกำไรปกติ 3Q24 ที่ 457 ลบ. -2% q-q, +4% y-Y และหากรวมผลขาดทุนจาก FX จะมีกำไรสุทธิ 456 ลบ. -11% q-q, -15% y-y โดยรวมไม่สดใส คาดรายได้รวมหดตัวจากรายได้ของธุรกิจ Distribution ที่ชะลอตัว แนวโน้ม 4Q24 จะดีขึ้นจากปัจจัยฤดูกาล เรายังคงประมาณการกำไรปี 2024-26 เติบโตเฉลี่ย 5.4% CAGR Valuation ถูก ยังแนะนำ “ซื้อ”

(-) CPN คาดกำไรสุทธิเป็นไปในทิศทางเดียวกัน -11% q-q, -3% Y-Y เป็น 4 พันลบ. หลักๆ เป็นไปตามตามยอดโอนอสังหาฯที่ลดลงเพราะโอนไปมากในช่วงก่อนหน้า ยอดโอนบ้านและคอนโดในไตรมาสนี้คาดว่าจะลดลงราว 50% q-q และ Y-Y ธุรกิจอื่นทั้งค่าเช่าร้านค้า ฟู้ดคอร์ท โรงแรม ยังเห็นการเติบโต y-y แต่ลดลง q-q เพราะ season มี FX loss เล็กน้อยจากบาทแข็ง คงประมาณการทั้งปีที่ 1.68 หมื่นลบ. +13% y-y ตามอุตสาหกรรมภาพระยะกลาง-ยาวยังมั่นคง ราคาเป้าหมาย 83 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

(-) BAM คาดกำไรสุทธิ 3Q24 หดตัวแรง 40-50% ทั้ง q-q และ y-y จากยอดจัดเก็บในธุรกิจ NPA ที่หดตัวราว 30% q-q และ y-y เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่อุปสงค์ของบ้านและคอนโดมือสองที่อ่อนตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้ารายย่อย นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากการรับรู้ ECL ที่สูงขึ้น เราอยู่ระหว่างปรับประมาณการใหม่ ซึ่งคาดว่าในปี 2024 มี downside อยู่ที่ราว 15-20% แต่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

(+) SNPS ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสมุนไพรครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ครอบคลุมการผลิตและจำหน่ายสารสกัดสมุนไพรมาตรฐาน และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ความงาม และสุขอนามัย ทั้งในรูปของ ODM และ OBM จุดแข็งอยู่ที่ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและบริการครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา วิจัย คิดค้นและพัฒนาสูตร ออกแบบบรรจุภัณฑ์ จนถึงการขึ้นทะเบียนและต่อทะเบียนสินค้ากับ อย. เราคาดกำไรปี 2024-26 โต +36% CAGR จากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ การออกสินค้าใหม่ทั้งลูกค้าและกลุ่มบริษัทเอง รวมถึงการขยายตลาดรวมถึงไปต่างประเทศมากขึ้น ราคาเป้าหมาย 6.30 บาท (Finansia เป็นผู้จัดจำหน่ายฯ)

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 378.08 จุด หรือ -0.90% ปิดที่ 41,763.46 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ดิ่งลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. หลังจากบริษัทไมโครซอฟท์ (Microsoft) และเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) ระบุว่าต้นทุนด้านเทคโนโลยีปัญญาณประดิษฐ์ (AI) ที่ปรับตัวสูงขึ้นอาจจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ และลดลงรายเดือนรุนแรงที่สุดในรอบ 1 ปี โดยถูกกดดันจากการเปิดเผยผลประกอบการที่ซบเซาของบริษัทจดทะเบียน และนักลงทุนรอดูความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจมหภาค และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

(0) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดผสม หลังทิศทางของตลาดสหรัฐฯ หดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 2 เดือนใน session ที่ผ่านมา

(0) ค่าเงินบาท ทรงตัว อยู่ที่บริเวณ 33.79 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +0.03%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 65 เซนต์ หรือ 0.95% ปิดที่ 69.26 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานอิหร่านเตรียมเปิดฉากโจมตีอิสราเอลจากดินแดนอิรักในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ในขณะที่เช้านี้บวกแรงอยู่ที่ระดับ 70.55 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +1.86%

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 51.50 ดอลลาร์ หรือ 1.84% ปิดที่ 2,749.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไร หลังจากราคาทองพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนหน้านี้ ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าราคาทองคำมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนยังคงเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 2,756.00ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.24%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 891.79/ -0.10%

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

1 พ.ย.สหรัฐ: Non-Farm Payroll, Unemployment rate (ต.ค.)

จีน: Caixin Manufacturing PMI

5 พ.ย.ไทย: เงินเฟ้อ (ต.ค.)

ออสเตรเลีย: ประชุมธนาคารกลาง

สหรัฐ: ISM Services PMI (ต.ค.)

จีน: Caixin Service PMI (ต.ค.)

7 พ.ย.จีน: ส่งออก (ต.ค.)

อังกฤษ: ประชุม BoE

สหรัฐ: ประชุม Fed, Initial Jobless Claims (พ.ย./02)

- Advertisement -