ยังมองการฟื้นตัววานนี้เป็นเพียงระยะสั้น

Market Update

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 0.9% ขณะที่ S&P500, Nasdaq ปรับตัวลงแรงสุด นับตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. หลังจาก MS, META ระบุว่าต้นทุน AI ปรับตัวสูงขึ้นจะกระทบกับผลประกอบการของบริษัท ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.84% หลังจากมีรายงานว่าอิหร่านเตรียมเปิดฉากโจมตีอิสราเอล

Market Outlook

เมื่อวานที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยประจำช่วง 3Q24 พบว่าดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า แต่หากเดือนกันยายนเทียบกับสิงหาคมพบว่าชะลอลงตามการส่งออกสินค้าที่ลดลงหลังเร่งไปมากในเดือนก่อนประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนลดลง โดยเฉพาะหมวดสินค้าคงทน สอดคล้องกับผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนทรงตัวแต่มีภาคการท่องเที่ยวเป็นแรงหนุน ด้านการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวจากรายจ่ายประจำและลงทุนของรัฐบาลกลาง รายละเอียดภายในของการบริโภคพบว่ายอดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปรับเพิ่มขึ้น เพราะอาจได้แรงหนุนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (เงิน 1 หมื่นบาท) แต่การบริโภคในกลุ่มยานยนต์ลดลงตามยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถกระบะส่วนนึงอาจเป็นผลจากสถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ แต่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงเป็นผลจากความกังวลน้ำท่วม ค่าครองชีพอยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนปรับลงนำโดยกลุ่ม Technology (-3.6%) และเป็นกลุ่มที่ Underperform สุด นอกเหนือจากรายงานที่ว่าต้นทุน AI สูงขึ้นแล้ว ยังมีอีกปัจจัย ได้แก่ OPENAI เปิดตัว Search Engine ส่งผลให้นักลงทุนกังวลมากขึ้นกับการแข่งขันด้านเทคโนโลยี สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจเมื่อคืนได้รายงานเงินเฟ้อ (PCE) พบว่าขยายตัว 2.1%YoY เป็นไปตามที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ ด้าน Core PCE อยู่ที่ 2.7%YoY สูงกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดเล็กน้อยที่ 2.6%YoY พร้อมกับผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.16 แสนราย แต่ดีกว่าที่ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 2.3 แสนราย โดยรวมตัวเลขผสมผสานระหว่างเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดการณ์แต่แรงงานดีกว่าคาด ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลค่อนข้างทรงตัว อย่างไรก็ตาม Dollar Index เริ่มอ่อนค่าลงมาแต่เงินบาทก็ยังทรงตัวในทางอ่อนค่าเช่นกัน และราคาทองคำเมื่อคืนพลิกกลับมาปรับตัวลง สะท้อนว่านักลงทุนทั่วโลกเลือกที่จะไม่ลงทุนใดๆ เลยหรืออยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงสอดคล้องกับตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ (Nikkei -2%) อาจสร้างแรงกดดันมายังตลาดหุ้นไทยในวันนี้ โดยเฉพาะกลุ่มความคาดหวังสูงอย่าง (DELTA) สำหรับ SET INDEX วานนี้ปรับขึ้นแข็งแกร่ง +1.3% แต่ส่วนนึงเป็นผลจากหุ้นเพียงไม่กี่ตัว อาทิ DELTA, ADVANC ที่มีผลต่อดัชนี 6.5 จุด และ 1.7 จุด พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่ยังไม่สูงมากนักเพียง 4.2 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิอีก 437 ล้านบาท สะท้อนถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่างชาติ

วันนี้ประเมิน SET INDEX ปรับตัวลงในกรอบ 1450 – 1465 รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นทั่วโลก และอาจเกิดแรงทำกำไรในหุ้น DELTA จากการที่ปรับขึ้นมาแรงและวานนี้กลุ่ม Tech ในสหรัฐฯ Underperform ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะทยอยลดพอร์ตเช่นเดิมตลาดหุ้นโลกยังไร้ปัจจัยหนุนที่มีนัยยะ อย่างไรก็ตามสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มส่งออก (ITC TU) ปัจจัยหนุนเงินบาทอ่อนค่า กลุ่ม Defensive (BDMS BCH) ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบ กลุ่มน้ำมัน (PTTEP ปัจจัยหนุนราคาน้ำมันปรับขึ้น

หุ้นแนะนำซื้อวันนี้

TU (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 18.30 บาท)

คาดผลประกอบการงวด 3Q24 มีกำไรสุทธิ 1,303 ล้านบาท (+8%YoY,+7%QoQ) ปัจจัยบวกหลักยังคงมาจากการเติบโตของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (Ambient Seafood) ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นจากตลาดตะวันออกกลาง และอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Care) แม้ว่าธุรกิจอาหารแช่แข็ง (Frozen Seafood) ยังคงลดลงจากความต้องการที่ชะลอตัวโดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ สำหรับแนวโน้มในช่วง 4Q24 เบื้องต้นคาดว่ารายได้ยังเห็นการเติบโตได้จากปีก่อนแม้จะมีผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาบ้าง

PTTEP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 181.00 บาท)

รายงานกำไรสุทธิงวด 3Q24 ที่ 1.79 หมื่นล้าน (-1.3%YoY, -25.5%QoQ) ใกล้เคียงกับเราคาด โดยปริมาณการขายที่ 475 KBOED (+1.6% YoY, -6.2%QoQ) ชะลอตัวตามการซ่อมบำรุงโครงการในไทยเป็นหลักในขณะที่ราคาขายเฉลี่ย (ASP) อยู่ที่ 47.1 USS/BOE (-3.2%YoY, +0.1%QoQ) ชะลอตามราคาน้ำมันดิบ โดยไตรมาสถัดไปคาดว่ากำไรทรงตัว เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจากทั้งปัจจัยฤดูกาลและการส่งมอบที่ค้างส่ง หักล้างกับราคาน้ำมันดิบดูใบที่ปรับตัวลง

- Advertisement -