บล.คันทรี่ กรุ๊ป:
RS: โทเคนพร้อมใช้จะช่วยหนุนการเติบโตของกำไรปี 2022
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อกลยุทธ์ใหม่ของบริษัทในการใช้เครื่องมือทางการตลาดใหม่ๆผ่านโทเคนพร้อมใช้ (utility token) ชื่อ “Popcoin” เพราะมองว่าจะมาช่วยเพิ่มความแม่นยำในการจับกลุ่มผู้ชม และช่วยให้เข้าถึงข้อมูลลูกค้าเชิงลึกมากขึ้น ซึ่งจะทำให้รุกธุรกิจพาณิชย์หลายช่องทาง (MPC) ของ RS มีอัตราการแปลงยอดขายที่สูงขึ้น
- บริษัทมีผลขาดทุน 3 แสนบาทใน 3Q21 แตะจุดต่ำรอบ 20 ไตรมาส เป็นผลมาจากรายได้ที่แตะจุดต่ำรอบ 5 ไตรมาส ขณะที่ยังมีค่าใช้จ่ายในการขายที่สูงอยู่
- คาดกำไร 4Q21 จะฟื้นตัว QoQ จากการฟื้นตัวของเม็ดเงินโฆษณาภาคองค์กรหลังมีการคลายล็อกดาวน์ และ ยอดขายธุรกิจ MPC ที่ปรับดีขึ้น แต่ภาพการเติบโตในเชิง YoY ยังท้าทายเพราะมีฐานรายได้สูงใน 4Q20
- ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2021-22 ขึ้น 27% และ 6% ตามลำดับ
คงคำแนะนำ “ซื้อ” RS ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 23.0 บาท จาก 24 บาท อิง 30xPE’22E คิดเป็น +1SD ต่อค่าเฉลี่ย 3 ปีของ FWDPE ทั้งนี้เราชอบ RS ตรงที่มีศักภาพในการเติบโตจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และความสามารถในการทำกิจกรรมการตลาด
Upside จาก utility token
บริษัทประกาศเปิดตัวเครื่องมือทางการตลาดใหม่ๆ ผ่าน utility token ชื่อ “Popcoin” โดยจะมีการจัดสรรเหรียญดังกล่าวให้กับพันมิตรทางธุรกิจของ RS และบุคคลอื่นอีกจำนวนมากในธ.ค. 2021 และคาดว่าจะจดทะเบียนในตลาดซื้อขายใน 1Q22
ข้อดีหลักๆคือการบูรณาการช่องทางการตลาดของ RS ทั้งหมดเข้าด้วยกัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรโฆษณาในแง่ของการจับกลุ่มผู้ชมเป้าหมายได้อย่างแม่นยำมากขึ้น เพื่อเป็นการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าเชิงลึกมากขึ้น และจะช่วยให้ธุรกิจ MPC ของบริษัทมีอัตราการแปลงยอดขายที่สูงขึ้นตามไปด้วย
เราเชื่อว่า Popcoin คือกลยุทธ์ที่ทำให้แต่ละฝ่ายระหว่าง RS ผู้รับชมโฆษณาและลูกค้าต่างได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า (win-win) เพราะผู้ที่ถือเหรียญนี้จะได้รับผลิตภัณฑ์และบริการจากบริษัท และพันธมิตรของบริษัทเป็นสิ่งตอบแทน ขณะที่ RS จะเพิ่มประสิทธิภาพด้านค่าใช้จ่ายการตลาดได้มากขึ้น โดยเฉพาะตอนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่เรายังไม่รวมประโยชน์เหล่านี้เข้ามาในประมาณการของเรา คงไว้เป็นเพียง upside ต่อกำไรในปี 2022-23
สรุปผลประกอบการ
- บริษัทมีผลขาดทุน 3 แสนบาทใน 3Q21 แตะจุดต่ำรอบ 20 ไตรมาส
- กำไรที่น่าผิดหวังเป็นผลมาจากรายได้ที่แตะจุดต่ำสุดรอบ 5 ไตรมาสที่ 852 ล้านบาท (-9%YoY, -14%QoQ)
- รายได้ธุรกิจสื่ออยู่ที่ 268 ล้านบาท (-30%QoQ, +5%YoY) ขณะที่รายได้ธุรกิจ MPC ลดลง 16%YoY และ 4%QoQ มาแตะจุดต่ำรอบ 6 ไตรมาส
- อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) แตะจุดต่ำรอบ 6 ไตรมาสเช่นกัน ที่ 47.3% จากการปรับลดลงของรายได้ธุรกิจ MPC
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายแตะจุดสูงสุดที่ 50.5% จาก 47.3% ใน 2Q21 และ 30.3% ใน 3Q20 เป็นผลจากค่าใช้จ่ายการขายที่พุ่งสูงขึ้นจากการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ใหม่
ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2021 และ 2022 ลง 27% และ 6% ตามลำดับ
เราได้ปรับลดประมาณการกำไรสทุธิปี 2021 ลง 27% เพื่อสะท้อนการปรับเพิ่มสมมติฐานอัตราส่วน SG&A ต่อยอดขายเป็น 44.8% จาก 42.4% เพราะมีค่าใช้จ่ายการขายสำหรับการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ใน 2Q21 ที่สูงกว่าคาด ขณะเดียวกันก็ปรับลดสมมติฐานรายได้ลง 5% และลด GPM ลงเป็น 52.1% เพื่อสะท้อนถึงรายได้ MPC ที่ต่ำกว่า คาด ทั้งนี้ เราได้ปรับลดกำไรสุทธิปี 2022-23 ลง 6% เพื่อสะท้อนถึงต้นทุนการตลาดที่สูงขึ้นจากการโปรโมทผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม MPC เพราะคาดถึงการแข่งขันที่ดุเดือดในช่วงที่กำลังซื้อผู้บริโภคฟื้นตัวขึ้นหลังสถานการณ์ COVID-19 ผ่อนคลายลง
Revenue Breakdown
บริษัทใช้แพลตฟอร์มธุรกิจพาณิชย์หลายช่องทาง (MPC) ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพ เสริมความงาม เครื่องใช้ในบ้าน และไลฟ์สไตล์ภายใต้แบรนด์ Magique, Revive และ S.O.M. ทั้งยังมีแหล่งรายได้มาจากการขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทพันธมิตรอีกด้วย บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์มากกว่า 100 รายการ ผ่านช่องทางหลากหลาย รวมถึงทีวีดิจิทัลทีวี ดาวเทียม วิทยุ และสื่อออนไลน์ ทั้งยังมีการขายผ่านพนักงานขายโดยตรง (ขายผ่านโทรศัพท์)โดยธุรกิจ MPC นี้คิดเป็น 63% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2020
นอกจากนี้ยังออกอากาศคอนเทนต์ด้านความบันเทิงบนช่องโทรทัศน์ของตน ปัจจุบัน RS ดำเนินธุรกิจช่องทีวีดิจิทัลที่ช่อง 8 และช่องทีวีดาวเทียมอีก 4 ช่อง ได้แก่ สบายดีทีวี ช่อง 2 Series Channe lและเพลินทีวี ซึ่งโดยมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป โดยธุรกิจสื่อจะคิดเป็น 30% ของรายได้ทั้งหมด
ส่วนธุรกิจเพลงและอื่นๆ จะรวมถึงกระบวนการผลิตเพลงทั้งหมด เช่น การคัดสรรศิลปิน การทำเพลง การโปรโมท กิจกรรมการตลาด การบริหารศิลปิน การเก็บรวบรวมลิขสิทธ์ิ และการจัดคอนเสิร์ตและงานอีเวนท์ ซึ่งทั้งหมดนี้คิดเป็น 7% ของรายได้ทั้งหมด
